หุ้นจีน ราคาทองคำ และหุ้นไทย
ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้กลายเป็นตลาดหุ้นที่ร้อนแรงสุดในโลกในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีตลาดดังกล่าวใช้เวลาแค่ 6 วันทำการบวกแรงเกิน 13% หรือกว่า 400 จุด จากระดับฐานใต้ 3,000 จุด มายืนเหนือ 3,400 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง
พลวัตปี 2020 : วิษณุ โชลิตกุล
ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้กลายเป็นตลาดหุ้นที่ร้อนแรงสุดในโลกในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีตลาดดังกล่าวใช้เวลาแค่ 6 วันทำการบวกแรงเกิน 13% หรือกว่า 400 จุด จากระดับฐานใต้ 3,000 จุด มายืนเหนือ 3,400 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง
ผลพวงที่น่าสนใจคือ เกิดผลพลอยได้ส่งมายังตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย ทำให้ดัชนีฮั่งเส็งลงไม่เป็น แม้จะมีข่าวร้ายจากกรณีราคาหุ้น HSBC มาถ่วงรั้งเอาไว้
คำถามคือ ภาวะกระทิงในตลาดหุ้นจีนยามนี้ จะกลายเป็นฟองสบู่ตลาดเก็งกำไรแบบที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อนหรือไม่
คำตอบยังไม่ชัดเจน
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา แรงซื้อที่ถั่งโถมเข้ามา จนกระทั่งมูลค่าซื้อขายวันเดียวในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ทะลุเกิน 1.0 ล้านล้านดอลลาร์ จนดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดพุ่ง 180.07 จุด หรือ +5.71% แตะที่ 3,332.88 จุด
คำอธิบายเบื้องต้นคือได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจีนเริ่มที่จะฟื้นตัวขึ้น ประกอบกับความหวังที่ว่า ทางการจีนจะออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และความเชื่อมั่นว่ากรุงปักกิ่งจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้
หลังจากนั้นตลาดยังคงบวกต่อเนื่องอีกเป็น 7 วันทำการรวด ในแง่เทคนิคแล้ว บ่งชี้ว่าตลาดได้เข้าสู่ภาวะกระทิง
ภาวะกระทิงครั้งสุดท้ายคือเมื่อ 5 ปีก่อน ที่ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้บวกจาก 2,500 จุด เป็น 5,000 จุด ภายในเวลา 5 เดือนแต่หลังจากนั้นก็เกิดฟองสบู่ที่ทำให้ทางการจีนต้องออกมาตรการสารพัดมากอบกู้ รวมทั้งการที่ธนาคารกลางจีนต้องล้างผลาญทุนสำรองเงินตราหลายแสนล้านดอลลาร์เพื่อประคองให้ดัชนีตลาดหุ้นยืนเหนือ 2,800 จุดให้ได้ แล้วหลังจากนั้นก็แกว่งตัวแคบ ๆ ระหว่าง 2,800-3,000 จุด มาตลออดสามปีครึ่งก่อนที่จะกลับมาร้อนแรงล่าสุด
คำอธิบายเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ระบุว่า นักลงทุนส่วนบุคคลหรือรายย่อยเริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้นถึงสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน หลังจากเมื่อวันศุกร์ (3 พ.ค.) จีนได้เปิดเผยข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการที่มาร์กิตจัดทำร่วมกับไฉซิน ซึ่งอยู่ที่ระดับ 58.4 ในเดือนมิ.ย. พุ่งขึ้นจากระดับ 55 ในเดือนพ.ค.โดยดัชนี PMI ภาคบริการเดือนมิ.ย.ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2553
ดัชนี PMI ที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่า ภาคบริการของจีนมีการขยายตัว ขณะที่ดัชนีต่ำกว่าระดับ 50 จะบ่งชี้ถึงภาวะหดตัว
ข้อมูลของไฉซินมีความสอดคล้องกับที่สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนมิ.ย. ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.4 จากระดับ 53.6 ในเดือนพ.ค. โดยดัชนี PMI ภาคบริการเดือนมิ.ย. ทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4
ผลจากความเชื่อมั่น ผสมโรงกับการฝ่อนคลายมาตรการซื้อขายหุ้น ทำให้ตัวเลขมูลค่าซื้อขายของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้(เชื่อมโยงกับตลาดหุ้นเซินเจิ้น และตลาดหุ้นฮ่องกงโป่งพองขึ้นชัดเจน ในขณะที่คำถามเกี่ยวกับตัวเลขเงินกู้เพื่อทำการซื้อขายของบริษัทหลักทรัพย์ (จะเรียกว่าการทำ LBO หรือ บัญชีมาร์จิ้น) ก็โป่งพองทำสถิติใหม่ตามไปด้วย
อัตราการเพิ่มขึ้นของการปล่อยกู้เพื่อซื้อขายหุ้นที่พุ่งแรงสุดในรอบ 5 ปี มีคำถามว่าทางการจีนจะเข้ามาควบคุมเร็วหรือช้าเพื่อป้องกันการเก็งกำไรเกินสมควรระลอกใหม่
การวิ่งขึ้นของภาวะกระทิงในตลาดเซี่ยงไฮ้-เซินเจิ้น ส่งผลต่อตลาดหุ้นฮ่องกงต่ำกว่าคาด หลังจากที่มีข่าวร้ายจากราคาหุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ ร่วงลงมากถึง 3.1% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นฮ่องกงช่วงเช้าวันพุธที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลกับรายงานข่าวที่ว่า ที่ปรึกษาระดับสูงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้เสนอให้รัฐบาลสหรัฐฯ ยกเลิกการผูกติดค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงกับดอลลาร์สหรัฐ
นักวิเคราะห์ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนหลายราย กล่าวว่า ข้อเสนอให้ยุติการผูกติดค่าเงินเป็นเหมือน “อาวุธร้ายแรงระดับนิวเคลียร์” และหากสหรัฐฯ ตัดสินใจทำเรื่องดังกล่าว ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ขาดสะบั้นลง
ภาวะกระทิงในตลาดหุ้นจีน สอดรับกับราคาทองคำแท่งในตลาดโลก ที่ปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ขานรับมุมมองบวกที่ว่า รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยล่าสุดนายริชาร์ด คลาริดา รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยกับซีเอ็นเอ็นว่า เฟดฯ ยังคงไม่จำกัดจำนวนการซื้อพันธบัตร และสามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินลงอีกด้วยการส่งสัญญาณบ่งชี้ล่วงหน้า และจะสนับสนุนการปล่อยกู้ต่อไปตราบเท่าที่จำเป็น
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นทะลุแนว 1,820 ดอลลาร์/ออนซ์เมื่อคืนนี้ (8 ก.ค.) และยังคงทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 9 ปี โดยมีแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และรายงานจากสภาทองคำโลก (WGC) ในวันอังคารที่ผ่านมาว่า เม็ดเงินสุทธิทั่วโลกที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำมีจำนวนมากถึง 3.95 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าสถิติรายปีที่เคยทำไว้
การวิ่งขึ้นของหุ้นจีนและราคาทองคำโลก เพิกเฉยต่อรายงานข่าวที่ศูนย์วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเชิงระบบ(CSSE) แห่งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ รายงานว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นมากกว่า 60,000 รายเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่จำนวน 60,021 รายเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยไวรัสฯ ยังคงแพร่ระบาดในหลายรัฐ ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคใต้และตะวันตก ขณะที่ผู้ป่วยในแอริโซนา แคลิฟอร์เนีย ฟลอริดา และเท็กซัส รวมกันคิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยรายใหม่ในสหรัฐฯ ขณะที่เจ้าหน้าที่เตือนว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะพุ่งขึ้นหลังช่วงวันหยุดเนื่องในวันชาติสหรัฐฯ
น่าสนใจตรงที่ว่า ภาวะดังกล่าวน่าจะส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้น SET ของไทยมากน้อยแค่ไหน เพราะนับแต่วาณิชธนกิจระดับโลกอย่าง โกลด์แมน แซคส์ ออกบทรายงานว่า บจ.ของไทยมีอัตราทำกำไรสุทธิต่ำสุดในเอเชีย และให้ค่าดัชนีเป้าหมายของ SET ปีนี้เอาไว้เพียง 1,250 จุด ก็มีผลให้เกิดอาการละล้าละลังของนักลงทุนต่างชาติมากทีเดียว
ล่าสุดวันพุธที่ผ่านมา ตัวเลขขายสะสมของทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย ยังคงอยู่ที่ 2.19 แสนล้านบาท (ซึ่งอธิบายถึงสาเหตุของการที่ดัชนี SET ไม่สามารถฝ่าแนวต้านขึ้นไปยืนเหนือ 1,400 จุดได้
การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยหมางเมินต่อภาวะกระทิงในจีน และขาขึ้นไม่หยุดของราคาทองคำโลก จึงมีเหตุผลในตัวเอง