ถอยตั้งหลัก (ชั่วคราว)
*หากประเมินแรงขายที่ถล่มใส่ตลาดหุ้นไทยระลอกใหม่ พร้อมกับเกิดความวุ่นวายเพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมืองที่ปะทุขึ้นมาเป็นระยะ “โมนิก้า” ก็เห็นสมควรที่ดัชนีไทยควรจะถอยลงไปตั้งหลัก เพื่อรอดูปัจจัยต่าง ๆ ให้นิ่งมากกว่านี้ และไม่มีความจำเป็นต้องดันทุรังสวนกระแส ในเมื่อหนทางทำกำไรเริ่มตีบตันมากขึ้นเรื่อย ๆ เดี๊ยนถึงอยากรอดูทุกอย่างให้ชัดเจนกว่านี้อีกนิดหนึ่งนะคะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*หากประเมินแรงขายที่ถล่มใส่ตลาดหุ้นไทยระลอกใหม่ พร้อมกับเกิดความวุ่นวายเพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมืองที่ปะทุขึ้นมาเป็นระยะ “โมนิก้า” ก็เห็นสมควรที่ดัชนีไทยควรจะถอยลงไปตั้งหลัก เพื่อรอดูปัจจัยต่าง ๆ ให้นิ่งมากกว่านี้ และไม่มีความจำเป็นต้องดันทุรังสวนกระแส ในเมื่อหนทางทำกำไรเริ่มตีบตันมากขึ้นเรื่อย ๆ เดี๊ยนถึงอยากรอดูทุกอย่างให้ชัดเจนกว่านี้อีกนิดหนึ่งนะคะ
*ยิ่งมองในมุมของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศเหลือเพียงแค่การอัดฉีดจากรัฐบาล แต่คนที่มีอำนาจในการผลักดันให้สถานการณ์ดีขึ้น กลับมัวแต่แก่งแย่งตำแหน่งอย่างกับสุนัขแย่งชามข้าวแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องสุดแสนจะทุเรศทุรังชนิดที่บอกไม่ถูกกันเลยทีเดียว เดี๊ยนถึงรู้สึกใจคอไม่ดีเมื่อเข้าใกล้ช่วงประกาศงบไตรมาส 2 เพราะอารมณ์ของตลาดหุ้นกำลังโอนเอนไปในทาง “ผิดหวัง” มากกว่า “สมหวัง” ไงล่ะคะ
*เหตุผลที่ทำให้เป็นเช่นนั้นมาจากไวรัสมรณะเกิดการระบาดรอบสอง จนทำให้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจทั่วโลกเกิดอาการชะงักชั่วคราว รวมทั้งทำให้แผนเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกสะดุดลงในทันที จึงทำให้สถานการณ์ในภายภาคหน้าลำบากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นเริ่มทำตัวให้ยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อเตรียมตัวสำหรับการรับแรงกระแทกรอบใหม่เจ้าค่ะ
*ด้วยเหตุนี้ถึงต้องมองโพซิชั่นของดัชนีที่แกว่งตัวถี่ขึ้นในแต่ละวัน ก่อนจะลงเอยที่ระดับ 1,350.50 จุด ลบไป 15.31 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.42 หมื่นล้านบาท ย่อมเป็นสัญญาณบอกให้นักเล่นควรหาหุ้นตัวใหม่ที่มีราคาต่ำกว่าพื้นฐานได้แล้ว เพราะหุ้นตัวเดิมที่เคยเคาะขวากันสนุกสนานเริ่มไปไม่ไหว เดี๊ยนเลยมองการถอยร่นของตลาดหุ้นไทยเป็นเรื่องที่นักเล่นต้องทำใจยอมรับให้ได้ เพราะพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยมาสุดทางได้แค่นี้จริง ๆ นะนายจ๋า!
*คล้ายกับกรณีของ CPALL ถูกรินขายหุ้นออกมาเรื่อย ๆ จนสุดท้ายหุ้นยืนปิดที่ 65.75 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 2.23% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.09 พันล้านบาท พร้อมกับทำ double bottom ในคราวเดียวกัน น่าจะเป็นจุดที่บอกให้รู้ว่าหุ้นมีโอกาสดีดกลับสูงก็จริง แต่คงไปได้ไม่ไกลดั่งใจหวัง เพราะผลงานในไตรมาส 2 ทำได้แค่ประคองไม่ให้ทรุดตัวลงหนัก จึงอยากให้แฟนคลับมองค่า P/E 27 เท่า มันควรพอหรือยัง ?
*ประเด็นดังกล่าวเชื่อมโยงไปถึงหุ้นขุดเจาะน้ำมัน PTTEP อย่างมีนัยสำคัญ เพราะราคาน้ำมันดิบที่เคยเป็นตัวเร่งราคาหุ้นในกระดานเริ่มนิ่ง และแกว่งตัวออกด้านข้างเป็นเวลานาน “โมนิก้า” เลยเห็นหุ้นในกระดานเริ่มโค้งตัวลงช้า ๆ ก่อนจะลงมายืนปิดที่ 91 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 1.62% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.43 พันล้านบาท พร้อมกับหลุดแนวรับลงมาหมดทุกเส้นแบบนี้..มันเป็นจุดเปราะบางที่ต้องถอยห่างชั่วคราวนะตัวเอง
*เช่นเดียวกับหุ้นถ่านหินตัวพ่อ BANPU ตกอยู่ในที่นั่งลำบากเป็นเวลาหลายปียังไม่พอ ราคาหุ้นยังทำท่าไหลรูดไปเรื่อย ๆ และจวนเจียนจะหลุดทุกแนวรับลงไปไกลอีกแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ จนทำให้ขนแขนสแตนด์อัพอย่างรวดเร็ว จึงอยากให้แฟนคลับลองประเมินการยืนปิดที่ระดับ 6 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 4.76% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 457.20 ล้านบาท ควรไปยุ่งเกี่ยวด้วยไหมเอ่ย ?
*ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องหันไปมองหุ้น BEM เพื่อชี้ให้เห็นโมเมนตัมของหุ้นที่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง โดยเฉพาะอาการซึมลงท่ามกลางผลงานไตรมาส 2 ดูไม่จืด มันเป็นเรื่องสุดแสนจะเจ็บปวดรวดร้าวเกินบรรยาย เดี๊ยนเลยไม่แปลกใจที่ในรอบ 1 เดือนราคาหุ้นไหลมาจากระดับ 10.50 บาทลงมาเรื่อย ๆ จนสุดท้ายยืนปิดที่ 9.45 บาท บวกไป 0.05 บาท หรือขึ้นไป 0.53% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 314.72 ล้านบาท ยังน่าสนใจจริงหรือเปล่า..ลองถามใจคุณดู..อิอิอิ
*ส่วนคนที่ชอบเสี่ยงเป็นชีวิตจิตใจ ย่อมไม่ผิดหวังกับการทรุดตัวของหุ้น AAV ในช่วงที่ผ่านมา เพราะของมันแบเบอร์มาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ไปไม่รอด! ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างไม่เอื้อต่อธุรกิจสายการบิน “โมนิก้า” เลยไม่มีความจำเป็นต้องเสียเวลากับหุ้นที่วูบวาบเป็นช่วง ๆ แต่ครั้งนี้มีความจำเป็นต้องเม้าท์ถึง เพราะหุ้นลงมายืนปิดที่ 1.93 บาท ลบไป 0.06 บาท หรือลงไป 3.02% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 87.67 ล้านบาท ซึ่งเป็นเส้นแนวรับสุดท้ายพอดิบพอดี จึงอยากให้ขาลุยประเมินโอกาสซี้ม่องเท่งมีเยอะขนาดไหน ?