ตามคาดหรือกว่าคาด

ทยอยประกาศงบการเงินไตรมาส 2/2563 และงวดครึ่งปีหุ้นธนาคารกันแล้ว เริ่มจากที่เคยเร็วสุดอย่าง TISCO หรือ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ล่าสุดก็ยังเร็วสุด แต่แทนที่จะเป็นสัปดาห์แรกของเดือน ก็ล่าช้าออกมาเป็นสัปดาห์ที่สามของเดือน


พลวัตปี 2020 : วิษณุ โชลิตกุล

ทยอยประกาศงบการเงินไตรมาส 2/2563 และงวดครึ่งปีหุ้นธนาคารกันแล้ว เริ่มจากที่เคยเร็วสุดอย่าง TISCO หรือ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ล่าสุดก็ยังเร็วสุด แต่แทนที่จะเป็นสัปดาห์แรกของเดือน ก็ล่าช้าออกมาเป็นสัปดาห์ที่สามของเดือน

การประกาศงบล่าช้า คาดเดาได้ง่ายมากว่า งบต้องขี้เหร่ลง ซึ่งก็ถูกต้อง เพราะ TISCO รายงานกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 2/2563 ที่ 1,333 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปรับตัวลดลง 25.8% ทำให้กำไรสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ปรับตัวลดลง 20.1% หรือมีกำไรสุทธิ 2,819 ล้านบาท

กำไรที่ถดถอยลงไปนักวิเคราะห์หลายสำนักถือว่าดีกว่าคาด และยังคงแนะนำให้ซื้อโดยมองข้ามเรื่องการจ่ายปันผลระหว่างกาลที่ยกเลิกไปตามคำสั่ง ธปท. เพราะดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่คาดว่าไตรมาส 2/2563 จะกำไรลดเฉลี่ย 31%

คำถามทั่วไปคือขนาดบริษัทที่กำไรแข็งแรงมาโดยตลอด ก็ยังย่ำแย่ขนาดนี้ เพราะความด้อยค่าของกิจการที่เชื่อมโยงกับการบริหารจัดการและควบคุมความเสี่ยงอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านคุณภาพหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

ผู้บริหารของธนาคารพาณิชย์ทุกคนทุกที่ในสถานการณ์ “โควิด-19 ยืดเยื้อ” คงต้องยกประเด็นการรับมือกับเรื่องNPL เป็นเรื่องสำคัญเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนและลูกค้าว่า “เอาอยู่” แต่ยิ่งพูดมากเท่าใด บอกได้เลยว่าความเจ็บปวดจะทวีคูณขึ้นเป็นเงาตามตัว

การพูดถึงคุณภาพของสินเชื่อในยามที่อัตราดอกเบี้ยต่ำติดพื้น (แม้จะอยู่ภายใต้มาตรการผ่อนปรนการจัดชั้นลูกหนี้ของ ธปท.) ต้องตามมาด้วยการปรับโครงสร้างทางการเงินของหนี้ลูกค้า นับตั้งแต่การยืดอายุหนี้ การเลื่อนกำหนดชำระโดยที่ไม่ถือเป็นหนี้เสียหรือหนี้สงสัยจะสูญ หรือ การพักชำระเงินต้น ซึ่งรายละเอียดอย่างนี้ มีคนที่น่าจะรับทราบกันไม่มากนักและเป็น ความลับที่ปิดกันให้แซ่ด” ซึ่งไม่ว่ามองจากมุมไหน ล้วนต้องผ่านความเจ็บปวดทั้งสิ้น

สำหรับธนาคารด้วยแล้วยิ่งต้องเจ็บปวดทวีคูณเพราะหากบีบลูกค้ามากเกินเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อ (ที่เป็นตัวสร้างรายได้จากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในอนาคตจะถดถอยลง แต่ถ้าย่อหย่อนเกินไปก็จะส่งผลให้ตัวเลขหนี้สงสัยจะสูญหรือ NPL เพิ่มมากขึ้น

ที่สำคัญยังไม่มีอะไรยืนยันว่าปีแห่งความยากลำบากเช่นปีนี้จะดำเนินไปอย่างไร ทำให้มุมมอง โลกสวย” ที่มีต่อหุ้นธนาคารทั้งหลาย (ว่าพ้นขีดต่ำสุดแล้ว และสถานการณ์เป็นลบในระยะสั้น) อาจจะต้องเบี่ยงเบนได้ง่าย ๆ ในอนาคตหากการคาดเดาไม่เกิดขึ้น เพราะหากธนาคารถูกสถานการณ์บีบคั้นให้ต้องตั้งสำรองยังเพิ่มสูงขึ้นรุนแรง ถึงแม้ว่าจะลดค่าใช้จ่ายลงได้ แต่คงไม่เพียงพอที่จะชดเชยรายได้ที่หายไปและการตั้งสำรองได้

ถึงเวลานั้นการปรับประมาณการลงสำหรับหุ้นกลุ่มธนาคารย่อมมิอาจเลี่ยงพ้น

คำว่าตามคาด หรือดีกว่าคาด อาจจะกลับกลายเป็นต่ำกว่าคาดได้ง่าย ๆ

ที่น่าจับตาจากนี้ไปสำหรับหุ้นกลุ่มธนาคาร อยู่ที่สถานการณ์ภายนอก เนื่องจากแรงกดดันจากสถานการณ์ทุนเก็งกำไรหรือฟันด์โฟลว์ไหลออก ยังคงดำเนินไปต่อเนื่อง จากความอ่อนไหวในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงิน เพราะแนวโน้มสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ

การชุมนุมขององค์กรนักศึกษาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แม้ว่าจะถูกปรามาสจากคนในวงการรัฐบาลว่าเป็น ม็อบมุ้งมิ้ง” ที่ไม่สะเทือนต่อความมั่นคงของรัฐบาลเผด็จการทหารที่แอบอ้างการเลือกตั้งยืดอายุต่อไป แต่การปรับคณะรัฐมนตรีและความล้มเหลวในการรับมือกับสถานการณ์รอบด้าน ผสมกับการเลือกใช้กฎหมายอย่างที่ทำให้ “กฎหมายขึ้นกับผู้ชี้ขาดอำนาจทางกฎหมาย” ไม่ได้ชี้ขาดที่ความยุติธรรม จะทำให้เสถียรภาพของอำนาจรัฐถูกบั่นทอนจาก ภายใน” ได้ง่ายมาก

การรัฐประหารที่อาจจะเกิดขึ้น การลุกฮือของคนหนุ่มสาวที่สิ้นหวังระบบอำนาจที่เป็นอยู่ และการปรับทิศทางของฟันด์โฟลว์ เป็นตัวแปรที่มีส่วนทำให้มุมมองต่อหุ้นธนาคารในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หาความแน่นอนได้ยากขึ้น

การถอยห่างจากหุ้นธนาคาร จึงน่าจะเป็นการหลบจากความไม่แน่นอนและความเสี่ยงในระดับหนึ่งทีเดียว

ประเด็นคือ คำนิยามว่า ตามคาด ดีกว่าคาด และเลวกว่าคาด อาจจะง่ายได้และไม่เพียงพอ

Back to top button