พาราสาวะถี
เพราะรู้ดีว่านี่คือเรื่องร้อน และไม่ใช่ร้อนธรรมดาถึงขั้นที่จะผสมโรงกับม็อบไล่รัฐบาล ทำให้รัฐนาวาเรือเหล็กล่มไม่เป็นท่าได้ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะเซ็นตั้ง วิชา มหาคุณ นั่งเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง วรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส กระทิงแดง ในคดีขับรถชนดาบตำรวจสน.ทองหล่อเสียชีวิตเมื่อปี 2555 พร้อมกับคำประกาศจากท่านผู้นำ “ความยุติธรรมไม่แบ่งชนชั้น”
อรชุน
เพราะรู้ดีว่านี่คือเรื่องร้อน และไม่ใช่ร้อนธรรมดาถึงขั้นที่จะผสมโรงกับม็อบไล่รัฐบาล ทำให้รัฐนาวาเรือเหล็กล่มไม่เป็นท่าได้ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะเซ็นตั้ง วิชา มหาคุณ นั่งเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง วรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส กระทิงแดง ในคดีขับรถชนดาบตำรวจสน.ทองหล่อเสียชีวิตเมื่อปี 2555 พร้อมกับคำประกาศจากท่านผู้นำ “ความยุติธรรมไม่แบ่งชนชั้น”
ก็อย่าให้เป็นเพียงแค่วาทกรรมเพื่อรักษาเสถียรภาพของตัวเองและคณะในช่วงเวลานี้เท่านั้น ต้องทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัดให้ได้ เพราะเห็นได้ชัดว่าทันทีที่เกิดเป็นข่าว ก็เริ่มมีการขุดคุ้ยและปูดข้อมูลกันอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายหนีไม่พ้นมีคนลากเอาพี่ใหญ่ของท่านผู้นำมาเกี่ยวข้องจนได้ เพราะน้องชายของผู้จัดการรัฐบาลดันไปนั่งเป็นประธานกรรมาธิการกฎหมายฯ ของสนช. ซึ่งเป็นต้นตอของการนำมาซึ่งความเห็นสั่งไม่ฟ้องของอัยการในครั้งนี้นี่เอง
ไม่ว่าจะเชื่อมโยงอย่างไร แต่ทุกคำถามเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง และแน่ชัดว่าไม่เป็นผลดีต่อองคาพยพสืบทอดอำนาจแน่ การผลิตวาทกรรมของท่านผู้นำว่าด้วยไร้ความเหลื่อมล้ำทางกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรม ดูท่าจะเป็นเรื่องตรงข้าม เมื่อเทียบกับสิ่งที่สังคมตั้งคำถามคุกมีไว้ขังคนจนเท่านั้น มันเป็นวลีที่เจ็บปวด เพราะกรณีนี้มันเห็นได้ชัดถึงความพยายามในการหลบหลีกตั้งแต่วันเกิดเหตุ จนกระทั่งเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและวันที่เกิดการหนีออกนอกประเทศอย่างถูกกฎหมาย
ไม่ว่าจะอธิบายในแง่มุมอย่างไร ไม่มีใครพร้อมจะเชื่อว่านั่นเป็นการดำเนินตามกระบวนการปกติ ยิ่งการได้เห็นคนในแต่ละวงการออกมาแสดงความคิดเห็น ล้วนแต่ระดับเซเลบที่เรียกแขกได้ทั้งนั้น งานนี้หากคำอธิบายจากทั้งคณะทำงานของอัยการสูงสุดและคณะทำงานของท่านผู้นำ ออกไปในลักษณะข้าง ๆ คู ๆ คงดูไม่จืดแน่ และไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ระดับนานาชาติก็มีความเคลื่อนไหวต่อกรณีนี้เช่นกัน นั่นแสดงให้เห็นว่า ใครก็ยอมรับไม่ได้กับความอยุติธรรมที่มีเรื่องของฐานะทางสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง
จากที่ตื่นเต้นกลายเป็นว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น กับโผครม.ประยุทธ์2/2 เนื่องจากเมื่อได้เห็นรายชื่อที่โผล่แพลมกันมาแล้ว ไม่ได้สร้างความฮือฮา หวือหวาหรือคาดว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศแต่อย่างใด ดังนั้น สิ่งที่ท่านผู้นำบอกว่าจะได้เห็นโฉมหน้าครม.ชุดใหม่ไม่เกินกลางเดือนสิงหาคม จึงไร้อารมณ์ร่วมหรือเสียงตอบรับใด ๆ สุดท้ายมันก็แค่สมบัติผลัดกันชม มีผู้ได้ประโยชน์จากการปรับแค่สองพวกคือตัวท่านผู้นำกับพรรคสืบทอดอำนาจเท่านั้น
เห็นกันอยู่ รายชื่อที่ปรากฏนั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าอำนาจในการปรับครม.นั้นเป็นของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างเต็มที่ มีพลังในการต่อรองอย่างหนักแน่น แต่ก็ถือว่าโชคดีที่มีตัวช่วยในโควตาแลกเปลี่ยนเก้าอี้อย่างพรรคของ สุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อมีคนพร้อมยอมหมอบราบคาบแก้ว ปัญหาที่คิดว่าใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องเล็กในทันที ส่วนบรรดาพวกที่หวังตำแหน่งในพรรค เมื่อระดับนำได้ในสิ่งที่หวังและผู้จัดการรัฐบาลตัวจริงเสียงจริงรับปากที่จะดูแลกันเต็มที่ทุกอย่างก็เป็นอันจบข่าว
ส่วนระยะยาวหมายถึงหลังจากปรับเปลี่ยนไปแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างยังไม่กระเตื้อง มีแต่เรื่องแต่ราวให้แก้กันไม่หยุดหย่อน ปากท้องของประชาชนก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข ตรงนั้นจะถือเป็นแรงกดดันระลอกใหญ่ที่ท่านผู้นำต้องเตรียมรับมือ เช่นเดียวกันบรรดาเสือหิวเสือโหยทั้งหลายก็รอให้เกิดจังหวะนั้น เพื่อที่จะได้สมหวังในสิ่งที่ต้องการ นาทีนี้ต้องยอมกลืนเลือดและร้องเพลงรอไปก่อน แต่ไม่ใช่การรอแบบเหงือกแห้ง เพราะคนที่เข้ามาจัดการถือว่าใจถึง พึ่งได้
รอดูประกาศิตของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่บอกว่าไม่อยากเห็นม็อบชนม็อบ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปคุยกับกลุ่มอาชีวะช่วยชาติ ที่นัดก่อม็อบปกป้องสถาบันบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยวันนี้ (30ก.ค.) นั้น มีน้ำหนักหรือไม่ แต่คงไม่น่าจะมีปัญหา ก็คนกันเองทั้งนั้น ถ้าจำกันได้ช่วงม็อบชัตดาวน์ก่อนที่ผู้นำเผด็จการจะเข้ามายึดอำนาจอีกหนึ่งแกนหลักของเทพเทือกนอกจากบรรดาผู้นำสถาบันอุดมศึกษากลางกระเท่เร่แล้ว ก็มีกลุ่มนักเรียนอาชีวะนี่แหละที่เป็นเรี่ยวแรงสำคัญ
มันต่างกันระหว่างม็อบที่เกิดขึ้นเพราะอุดมการณ์และมีแนวทางในการเรียกร้อง กับม็อบจัดตั้งโดยมีวาระซ่อนเร้น เพียงแต่ว่าม็อบธรรมชาติกับ 3 ข้อเรียกร้องสำคัญนั้น ต้องขจัดปัญหาเรื่องของแนวร่วมที่แสดงท่าทีจาบจ้วงล่วงเกินต่อสถาบันเบื้องสูงให้ได้ เพราะนี่ถือเป็นจุดอ่อนอันจะกลายมาเป็นจุดตายทำให้การขยับขับเคลื่อนไปต่อไม่ได้ สุดท้ายแทนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น ก็ต้องย้อนกลับไปย่ำรอยอดีตที่มีคนตายไปพร้อม ๆ กับประชาธิปไตยที่ไปไม่ถึงไหน
ถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย แน่นอนประเด็นเรื่องสถาบันเบื้องสูง เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนยอมรับกันไม่ได้อยู่แล้ว หากจะมีใครมาลบหลู่ดูแคลน เพราะนี่คือรูปแบบการปกครองของเราที่แตกต่างจากประเทศอื่น เรื่องประชาธิปไตยไม่มีใครมองเป็นอย่างอื่นคือทุกคนเท่าเทียมและมีสิทธิเสมอกัน หากแต่ในประเทศไทยเมื่อเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นั่นหมายความว่า สถาบันเบื้องสูงย่อมอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง
แสดงความเป็นห่วงอย่างมีเหตุมีผลในฐานะอดีตนักศึกษาที่เป็นนักกิจกรรมเหมือนกัน เทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ที่เห็นว่าเมื่อขบวนการนักศึกษาคืนชีพมาในทางการเมืองอีกครั้ง ก็มีความพยายามในการยกเรื่องสถาบันกษัตริย์ขึ้นมาเพื่อโจมตีทางการเมือง และจัดตั้งม็อบอาชีวศึกษาขึ้นมาปกป้องสถาบัน เช่นเดียวกับเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ที่มีการจัดม็อบชนม็อบ ตรงนี้ถือเป็นเรื่องอันตรายที่ใช้วิชามารจัดตั้งกลุ่มนักศึกษาขึ้นมาปะทะกัน แล้วสุดท้ายคือ “คนไทยฆ่ากันตาย”
ถูกต้องแล้วกับข้อเสนอที่ว่าแกนนำแฟลชม็อบต้องประกาศชัดว่า ไม่สนับสนุนให้คนที่จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงเข้าร่วมชุมนุมหรือฉวยโอกาส ขณะที่ฝ่ายผู้มีอำนาจก็ต้องไม่ให้จัดตั้งกลุ่มนักศึกษามาก่อม็อบชนม็อบเพิ่มความขัดแย้ง แต่หากยังดันทุรังกันต่อไป ไม่ใช่แค่ว่า 3 ข้อเรียกร้องจะไม่ได้รับการตอบสนองเท่านั้น แต่นั่นอาจจะกลายเป็นเงื่อนไขให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้งก็เป็นได้