SCCC คุมต้นทุนได้ดี!

คุณค่าบริษัท ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ผลกระทบจากสถานการ …


คุณค่าบริษัท

ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เกิดมาตรการเคอร์ฟิวแต่ละประเทศมีระดับความเข้มงวดที่แตกต่างกัน ส่งผลกระทบต่อความต้องการปูนซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับปูซีเมนต์ชะลอตัวลง ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC ที่ยอดขายชะลอตัวลง

ถึงกระนั้น ทาง SCCC กลับมีกลยุทธ์ฝ่าฟันวิกฤติ โดยการลดต้นทุน และการเพิ่มประสิทธิภาพภายในเป็นปัจจัยหลักที่ลดผลกระทบจากแรงกดดันด้านรายได้และทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น

ดูรายละเอียด โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 บริษัทมีรายได้รวมลดลงเหลือ 10,243.59 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 11,980.57 ล้านบาท เหตุจากการหยุดชะงักของธุรกิจเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้กิจกรรมการก่อสร้างและความต้องการปูนซีเมนต์ในภูมิภาคชะลอตัวลงและส่งผลให้รายได้สุทธิของกลุ่มบริษัทลดลง

อย่างไรก็ดี SCCC กลับสามารถทำกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,024.18 ล้านบาท หรือ 3.44 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 637.32 ล้านบาท หรือ 2.14 บาทต่อหุ้น เนื่องจากได้ดำเนินการลดต้นทุนในด้านต่าง ๆ รวมถึงการปรับปรุงการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุดเพื่อให้กลุ่มบริษัทยังคงสามารถสร้างผลกำไรในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวนอย่างรุนแรง โดยได้ดำเนินการปรับปรุงการบริหารจัดการโรงงานเพื่อลดการชำรุดและซ่อมแซมเครื่องจักรนอกแผนงานและทำให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงลดลงอย่างมีประสิทธิผล นอกจากนี้จากการที่แนวโน้มราคาพลังงานลดลงได้ส่งผลดีต่อกลุ่มบริษัท โดยต้นทุนในการผลิตและต้นทุนในการจัดจำหน่ายลดลง ในขณะที่ต้นทุนในการดำเนินงานคงที่ ได้รับการพิจารณาและปรับลดลงให้สอดคล้องกับสภาวะการของธุรกิจ

นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 บริษัทมีรายได้รวมลดลงเหลือ 21,330.14 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 24,044.06 ล้านบาท ขณะที่ด้านกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,849.89 ล้านบาท หรือ 6.21 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,742.09 ล้านบาท หรือ 5.85 บาทต่อหุ้น ภาพรวมหลังจากประสิทธิภาพของการควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการที่เหลือ ทาง บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมินว่า Covid-19 ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในวงกว้าง และรุนแรง โดยในครึ่งปีหลังทาง SCCC จะมีการปิดซ่อมบำรุงเตา 2 เตา จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 200 ล้านบาท บวกกับเป็นช่วงโลซีซั่น จะทำให้กำไรครึ่งปีหลังชะลอตัว กำไรครึ่งปีแรกมีสัดส่วนสูงถึง 62% ของประมาณการทั้งปี ทำให้ประมาณการมีอัพไซด์

โดยคงประมาณการแบบอนุรักษนิยม คาดปี 2563 จะมียอดขาย 42,834 ล้านบาท ลดลง 10% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร 2,979 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ปี 2562 มีค่าใช้จ่ายพิเศษสูงถึง 500-700 ล้านบาท

ขณะที่ ราคาหุ้น SCCC แม้ว่าจะปรับขึ้นจากจุดต่ำสุดกลางเดือน มี.ค. 38% แต่ยังปรับลดลง 26% จากต้นปีถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน Valuation ที่น่าสนใจคือ P/E 14 เท่า, EV/EBITDA 8.9 เท่า, P/BV 1.3 เท่า และอัตราเงินปันผลตอบแทน 5.6% คงแนะนำ “ซื้อลงทุน” ประเมินราคาเป้าหมายปี 2563 เท่ากับ 180 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. บริษัท ซันไรส์ อีคิวตี้ จำกัด 106,612,288 หุ้น 35.78%
  2. JARDINE CYCLE & CARRIAGE LIMITED 76,107,368 หุ้น 25.54%
  3. บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด 28,091,034 หุ้น 9.43%
  4. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 4,293,363 หุ้น 1.44%
  5. กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) 2,920,399 หุ้น 0.98%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายพอล ไฮน์ ฮูเกนโทเบลอร์ ประธานกรรมการ
  2. นายศิวะ มหาสันทนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, กรรมการ
  3. นายเอเดน จอห์น ไลนัม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม, กรรมการ
  4. นายวันชัย โตสมบุญ กรรมการ
  5. น.ส.นพพร ติรวัฒนกุล กรรมการ

Back to top button