พาราสาวะถี
ในที่สุดก็เห็นช่องทางของการรื้อคดี วรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส กระทิงแดง ตั้งต้นกันที่คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดที่อัยการสูงสุดตั้งขึ้นมา ตั้งโต๊ะแถลงไปแล้ววันวาน ย้ำมี 2 ประเด็นที่ยังไม่ปรากฏในสำนวนชุดที่ เนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง คือ ความเร็วรถที่คำนวณได้ในอัตรา 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิอาญา คณะทำงานจึงขอให้อัยการสูงสุดแจ้งไปยังพนักงานสอบสวนให้เริ่มต้นสอบสวนคดีนายบอสใหม่อีกครั้ง
อรชุน
ในที่สุดก็เห็นช่องทางของการรื้อคดี วรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส กระทิงแดง ตั้งต้นกันที่คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดที่อัยการสูงสุดตั้งขึ้นมา ตั้งโต๊ะแถลงไปแล้ววันวาน ย้ำมี 2 ประเด็นที่ยังไม่ปรากฏในสำนวนชุดที่ เนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง คือ ความเร็วรถที่คำนวณได้ในอัตรา 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิอาญา คณะทำงานจึงขอให้อัยการสูงสุดแจ้งไปยังพนักงานสอบสวนให้เริ่มต้นสอบสวนคดีนายบอสใหม่อีกครั้ง
กับอีกกรณีคือ ผลการตรวจเลือดตั้งแต่วันเกิดเหตุพบโคเคน ถือว่าทำผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ข้อหาส่วนนี้ยังไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีกับนายวรยุทธ คณะทำงานจึงเสนอให้อัยการสูงสุดแจ้งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี และคดีพระราชบัญญัติยาเสพติดยังไม่หมดอายุความ แต่กรณีนี้ไม่แน่ใจว่าสุดท้ายจะสามารถดำเนินการเอาผิดได้หรือไม่ เพราะมีช่องโหว่เรื่องของระยะเวลาในการตรวจหาสารเสพติด นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ
จุดนี้เป็นความเห็นจาก ชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา ในฐานะคณะทำงานตรวจสอบชุดนี้ ที่ระบุว่า เรื่องยาเสพติดและเมาแล้วขับ มองว่าเป็นปัญหาเชิงระบบที่ทำให้กระบวนการสอบสวนไม่สมบูรณ์ ทั้งเวลาเจาะเลือดผู้ต้องหาห่างจากเวลาเกิดเหตุหลายชั่วโมง ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายทำให้เห็นโอกาสในการสะสางคดี ในประเด็นที่หากพนักงานอัยการและพนักงานสอบสวนร่วมกันในการสอบสวนเรื่องนี้อย่างทันท่วงที ยืนยันว่าหากเจาะเลือดทันทีคดีจะเปลี่ยนไป
ขณะที่คณะกรรมการตรวจสอบที่ท่านผู้นำตั้งขึ้นซึ่งมี วิชา มหาคุณ เป็นประธาน มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาสองส่วนคือ คณะทำงานดูเรื่องของอัยการ ตำรวจ และผู้เกี่ยวข้อง และคณะทำงานพิจารณาด้านกฎหมาย ที่มี ปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นประธานคณะทำงานชุดหลังนี้ โดยที่เจ้าตัวยืนยัน ไม่มีแรงกดดันใด ๆ มีกระแสสังคมจะตั้งธงไว้อย่างไรก็ตาม เพราะ “ข้อเท็จจริงก็คือข้อเท็จจริง” ขอให้ยึดจุดยืนนี้อย่างแข็งขันต่อไปก็แล้วกัน
สำหรับอัยการผู้สั่งคดีนั้น ทางคณะทำงานของอัยการสูงสุดยืนยันว่า ดำเนินการไปตามกระบวนการกฎหมายอย่างถูกต้อง ครบถ้วน คงต้องรอดูว่าในส่วนของคณะทำงานฝั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ตั้งขึ้น จะมีความเห็นไปในทิศทางใด เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับอัยการหรือไม่ ถ้าแตกต่าง ก็ย่อมนำมาซึ่งคำถาม เหตุใดจึงไม่แย้งความเห็นสั่งไม่ฟ้องของอัยการ งานนี้ไม่รู้ว่าจะมีใครต้องสังเวยหรือไม่ แต่ชัดเจนคือมันมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ยังต้องร้องเพลงรอต่อไปสำหรับ ธนกร วังบุญคงชนะ อดีตโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ที่เห็นบทบาทในการปกป้องผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในทุกเม็ดทุกดอก ที่เดิมทีก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวาน มีกระแสแรงว่า จะมีการแต่งตั้งให้เป็นโฆษกรัฐบาล แต่หลังการประชุมท่านผู้นำแถลงข่าว ยังไม่มีการพิจารณารายชื่อแต่อย่างใด และตัวเองก็มีคนที่อยู่ในใจแล้ว ส่วนพรรคสืบทอดอำนาจเสนอใครมาสามารถทำได้ แต่สุดท้ายอำนาจอยู่ที่ตน
ถ้ายึดบริบทเดียวกับการปรับครม. อดีตโฆษกพรรคสืบทอดอำนาจก็อาจจะต้องกินแห้ว ยิ่งฟังคำอธิบายต่อบทบาทของโฆษกรัฐบาลในมุมผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแล้ว โอกาสของธนกรดูริบหรี่ในทันใด เพราะท่านผู้นำไม่ประสงค์ให้กระบอกเสียงของรัฐนาวาไปตอบโต้ทางการเมือง เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเป็นวิวาทะไม่จบสิ้น งานก็จะเดินต่อลำบาก หากกำหนดคุณสมบัติไว้เช่นนั้นคนที่พรรคเสนอก็คงไม่ได้ไปต่อ
พอจะเข้าใจได้เมื่อตัวเองเป็นผู้ชูแนวทางรวมไทยสร้างชาติเสียแล้ว ก็ต้องหลีกเลี่ยงท่วงทำนองที่จะทำให้เกิดการเผชิญหน้าในทุกรูปแบบ ตำแหน่งโฆษกรัฐบาลหากทำการเมืองเหมือนที่ผ่านมา ก็จะปะฉะดะกับฝ่ายตรงข้ามไปทั่ว แน่นอนว่า มันอาจจะเกิดประโยชน์ในทางการเมืองในภาวะที่มีผู้นำมาตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยปกติ แต่กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมันไม่ใช่ ทุกอย่างจึงต้องแตกต่างออกไปเพื่อซื้อใจคนที่เห็นต่างให้ได้
เห็นได้ชัดต่อท่าทีที่มีกับขบวนการนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่เคลื่อนไหวด้วยการชู 3 ข้อเรียกร้องกดดันรัฐบาลเวลานี้ เป็นเรื่องที่ตรงใจประชาชนส่วนใหญ่จนแม้แต่เนติบริกรข้างกายผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็หาช่องติ๊ดชึ่งได้ลำบาก เราจึงได้ยินจากปากท่านผู้นำว่า จะจัดเวทีรับฟังความเห็นคนรุ่นใหม่ภายในเดือนนี้ และกำลังพิจารณาดูอยู่ว่าจะเป็นผู้มารับฟังเสียงสะท้อนและข้อเรียกร้องเหล่านั้นด้วยตัวเองหรือไม่ แต่มีข้อแม้ว่า ในส่วนของคนที่เคลื่อนไหวแล้วพูดเกินเลยไปก็ต้องดำเนินคดีกันตามกฎหมาย
ในกรณีนี้คงไม่ต้องบอกว่าสารที่ท่านผู้นำสื่อนั้น หมายถึงเรื่องใด ก็เป็นกรณีการก้าวล่วงหรือละเมิดสถาบันกษัตริย์ของกลุ่มผู้ที่ไปร่วมชุมนุม ซึ่งจุดนี้คงต้องเป็นสิ่งที่แกนนำควรจะหันมาขบคิด ภาพชัดว่าในการเคลื่อนไหวที่ระยองทันทีที่ผู้ปราศรัยพูดในประเด็นนี้ คนที่มาร่วมงานพากันลุกเดินหนีไปเกือบครึ่ง ซึ่งประเด็นที่อ่อนไหวเช่นนี้ คนไทยส่วนใหญ่รับไม่ได้ และถ้าไม่เรียนรู้เพื่อสรุปบทเรียนประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวในอดีตที่ผ่านมา บางทีอาจจะเกมกันเร็วโดยที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ต้องทำอะไร
ความเป็นคนรุ่นใหม่ ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าสังคมแห่งการเรียนรู้นั้นเปิดกว้าง แต่ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของการเมืองการปกครองในแต่ละประเทศด้วย โดยเฉพาะประเทศไทย หากบอกว่าระดับนำทั้งหลายเป็นนักคิดและศึกษาประวัติศาสตร์มาอย่างถ่องแท้แล้ว ก็ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “ฝ่ายซ้ายไร้เดียงสา” ด้วย เรื่องนี้ไม่ใช่คิดเองเออเอง แต่มีหนังสือของปราชญ์ชาวตะวันตกในยุคของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคนั้น ระบุไว้ชัดเจน
หากจะเรียนรู้เพื่อก้าวเดินไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ก็ต้องเข้าใจกระบวนการเคลื่อนไหวด้วยว่าอะไรคือข้อจำกัด อะไรคือสิ่งที่จะเรียกแนวร่วม แสวงหาแนวรบ ไม่ใช่การขยับแล้วทำให้มิตรหนีหายในทันทีทันใด ข่าวสารที่ได้ยินได้ฟังมาว่าจะยกระดับความเคลื่อนไหว โดยเน้นไปในประเด็นที่สังคมห่วงใย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็บอกได้เลยว่า ก่อนที่ 3 ข้อเรียกร้องจะได้รับการตอบสนอง จะมีคนถูกดำเนินคดีถูกยัดเข้าซังเตกันหมดเสียก่อน