พาราสาวะถีอรชุน

คู่ขนานกันมาเป็นการแย่งชิงพื้นที่ข่าวระหว่างกรณีระเบิดราชประสงค์และโผการปรับครม. อย่างไรเสีย เรื่องของเหตุร้ายถือเป็นสิ่งที่คนไทยทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกที่คิดเห็นแตกต่าง หลังจากตั้งสติได้ต้องหันหน้ามาเอาใจช่วยให้เจ้าหน้าที่เร่งแกะรอยติดตามตัวคนใจอำมหิตมาลงโทษให้ได้ พร้อมๆกับการคลี่คลายที่มาของการลงมือก่อเหตุครั้งนี้


คู่ขนานกันมาเป็นการแย่งชิงพื้นที่ข่าวระหว่างกรณีระเบิดราชประสงค์และโผการปรับครม. อย่างไรเสีย เรื่องของเหตุร้ายถือเป็นสิ่งที่คนไทยทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกที่คิดเห็นแตกต่าง หลังจากตั้งสติได้ต้องหันหน้ามาเอาใจช่วยให้เจ้าหน้าที่เร่งแกะรอยติดตามตัวคนใจอำมหิตมาลงโทษให้ได้ พร้อมๆกับการคลี่คลายที่มาของการลงมือก่อเหตุครั้งนี้

ไม่ใช่การไปเที่ยวกล่าวหาฝ่ายโน้นฝ่ายนี้เหมือนช่วงเกิดเหตุหมาดๆ เหมือนอย่างที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.เรียกร้องขอให้คนไทยร่วมใจกันเป็นหนึ่งเพื่อนำพาประเทศข้ามพ้นสถานการณ์เลวร้ายครั้งนี้ไปให้ได้ ส่วนที่บิ๊กตู่เรียกร้องให้คนร้ายรีบมามอบตัวโดยเร็วเพื่อความปลอดภัยนั้น ถือเป็นท่วงทำนองของผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จที่จะต้องเดินไปในแนวทางนี้

ที่เห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันระหว่างนายกฯและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็คือ การลงมือก่อเหตุหนนี้ต้องทำกันเป็นขบวนการ คนลงมือได้รับการจ้างวานมาปฏิบัติการณ์ ก่อนที่ พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จะประกาศตั้งรางวัลนำจับ 1 ล้านบาทสำหรับการแจ้งเบาะแสจนนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเสียงจากแกนนำนปช.ประกาศสมทบทุนร่วมด้วย

นั่นก็คือ สมหวัง อัสราษี ที่ประกาศจ่ายเงินเพิ่มให้เจ้าหน้าที่อีก 2 ล้านบาท ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ที่ต้องการเห็นคนร้ายที่ก่อเหตุรุนแรงถูกจับกุมตัวมาดำเนินคดี โดยเจ้าตัวประกาศหากจับได้จะนำเงินสดไปมอบให้เจ้าหน้าที่ด้วยตัวเอง ขณะที่ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.มองต่อไปว่า รัฐบาลน่าจะรู้ตัวคนก่อเหตุแต่ไม่กล้าแตะ จึงรีบโยนความผิดให้ฝ่ายตรงข้าม

คงเป็นเรื่องของมุมมองที่ต่างกัน แต่เวลานี้ไม่ใช่จังหวะที่จะต้องเที่ยวไปโทษใครหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ในการสะสางเหตุการณ์ทั้งหมดให้เกิดความชัดเจน นาทีนี้หลายคนดีใจอยู่เล็กๆถ้าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของพวกก่อการร้ายข้ามชาติที่มีวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด เพราะโอกาสที่จะทำซ้ำนั้นน่าจะมีน้อย แต่หากเป็นคนในประเทศก็ไม่รู้ว่าวันใดจะบ้าดีเดือดลุกขึ้นมาทำลายล้างชีวิตผู้คนที่บริสุทธิ์อีก

การปรับครม.ที่บิ๊กตู่ยืนยันตั้งแต่วันวานว่าได้นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯถวาย แล้วนั้น ล่าสุดหัวหน้ารัฐบาลคสช.ก็ออกมาย้ำอีกกระทอกว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยทีมเศรษฐกิจนั้นโดนกันยกชุด กรณีของ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล นั้น นายกฯพูดให้ดูดีหน่อยว่า สลับเก้าอี้กับ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คนหนึ่งไปเป็นรองนายกฯด้านเศรษฐกิจ ส่วนคนที่ถูกปรับออกให้มาเป็นที่ปรึกษาคสช.

ส่วนรายที่อยู่เหนือความคาดหมายคือ ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ที่ต้องพ้นจากเก้าอี้รองนายกฯไปเนื่องจากบิ๊กตู่ต้องทำให้อดีตผบ.เหล่าทัพที่ร่วมยึดอำนาจด้วยกันมาอย่าง พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง เจ้ากระทรวงคมนาคม กับ พลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีตำแหน่งแห่งหนในฝ่ายบริหาร ดังนั้น จึงต้องขอแรงผู้เสียสละ

ในรายของสมคิดนั้นเดิมทีจะไม่รับเก้าอี้รองนายกฯโดยขอไปนั่งว่าการกระทรวงการคลัง แต่บิ๊กตู่ไม่รู้จะหาใครที่เหมาะสมมาช่วยบัญชาการ หวยจึงไปออกที่ อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ซึ่งก็เป็นคนที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจการันตีและผลักดันมาตั้งแต่ต้น ซึ่งความจริงมีการเสนอชื่อนี้มาตั้งแต่คราวจัดตั้งรัฐบาลประยุทธ์ 1 เสียด้วยซ้ำ ทว่าไปติดกับดักเกมเตะตัดขาของผู้ไม่หวังดีเข้าจึงทำให้ชวดตำแหน่งไป

มาหนนี้ไม่มีปัญหาได้มาบัญชาการกระทรวงที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่ต้องการเช่นเดียวกันกับที่กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม จะมีที่ไม่ได้ตามร้องขอก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพราะบิ๊กตู่ได้โยกเพื่อนรัก พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ มากุมบังเหียน เช่นเดียวกันกับ พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ที่ไปนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

โดยโยก พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีแรงงานไปนั่งว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแทน แล้วดึงเอา พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกลาโหมที่จะเกษียณอายุราชการมานั่งกระทรวงจับกังถือเป็นการปลอบใจหลังจากพลาดหวังเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบกเมื่อคราวช่วงชิงกับ พลเอกอุดมเดช สีตบุตร เมื่อปีที่ผ่านมา

ส่วนอีกรายที่ส้มหล่นโครมเบ้อเริ่มก็คือ พลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์ ที่ตำแหน่งในกองทัพคือผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพบก แต่ในยุครัฐบาลคสช.ได้สวมหัวโขนสำคัญหลายตำแหน่งทั้งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สมาชิกสนช. ประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ หรือคตร. และประธานอนุกรรมการพิจารณาและกลั่นกรองแผนงานการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ

ในการปรับครม.หนนี้ได้รับความไว้วางใจจากบิ๊กตู่ให้เข้ามานั่งว่าการกระทรวงพลังงาน สงสัยผลงานการสอบไมค์ทองคำน่าจะเข้าตาจึงมีการปูนบำเหน็จให้ ส่วนรัฐมนตรีรายอื่นๆ นั้นมีทั้งเลื่อนชั้นรัฐมนตรีช่วยและคนที่ได้ไปต่อในตำแหน่งเดิม คงต้องรอดูว่าการเขย่ารอบนี้ที่บิ๊กตู่บอกทำตามคำเรียกร้องจะช่วยทำให้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลกระเตื้องขึ้นได้หรือไม่

อีกเรื่องที่น่าเสียดายว่าถูกสองข่าวใหญ่กลบไปนั่นก็คือ การชี้แจงเหตุผลในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการยกร่างฯต่อกลุ่มต่างๆ ของสปช.ทั้ง 8 กลุ่ม ต้องขีดเส้นใต้ความเห็นของ พลเดช ปิ่นประทีป ที่พอใจในภาพรวมแต่ขัดใจกรณีที่มาส.ว.ที่อยากให้มีการลากตั้งทั้งหมด โดยอ้างเรื่องของไม่อยากให้มีที่มาเช่นเดียวกันกับส.ส. ไปได้น้ำขุ่นๆ จริง

ด้วยเหตุนี้กระมัง ประภาส ปิ่นตบแต่ง อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯจึงมองว่า ร่างรัฐธรรมนูญเหมือนเล่นไฮโล คือร่างรัฐธรรมนูญในบ่อน มีคนขอนั่นขอนี่เข้ามาอยู่เรื่อย ทำให้มองภาพรวมของร่างรัฐธรรมนูญไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มใบ แต่เป็นประชาธิปไตยเพียงเสี้ยวใบ เนื่องจากการตั้งบ่อนร่างรัฐธรรมนูญสืบทอดความคิดมาจากความไม่ไว้วางใจประชาชน ทำให้เกิดองค์กรที่ไม่ยึดโยงประชาชน ตอบคำถามในทางประชาธิปไตยที่มาจากประชาชนไม่ได้

เมื่อผู้ที่ไม่ได้มาจากประชาชน แต่มีอำนาจกำกับและดำเนินนโยบาย เช่น คณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ซึ่งไม่สามารถอธิบายให้สอดคล้องกับประชาชนได้ แต่อธิบายได้เพียงมิติของความขัดแย้งเท่านั้น เป็นการต้องการรัฐบาลซ้อนรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง โดยมีอำนาจมากกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เรื่องนี้นักรัฐศาสตร์ต้องช่วยกันระดมความเห็น เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ให้ประชาชนก่อนจะไปถึงการทำประชามติ

Back to top button