หุ้นกับภัยพิบัติ พลวัต2015

เหตุวางระเบิดโดยเจตนาใจกลางกรุงเทพฯ ต้นสัปดาห์นี้ ช่วยเตือนสติคนไทยว่า ความเสี่ยงจากภัยพิบัตินั้น มีทุกหนแห่ง และเกิดได้ทุกเมื่อ ยากจะคาดเดาล่วงหน้า


เหตุวางระเบิดโดยเจตนาใจกลางกรุงเทพฯ ต้นสัปดาห์นี้ ช่วยเตือนสติคนไทยว่า ความเสี่ยงจากภัยพิบัตินั้น มีทุกหนแห่ง และเกิดได้ทุกเมื่อ ยากจะคาดเดาล่วงหน้า

สำหรับนักลงทุนในพอร์ตโฟลิโอที่ตลาดหุ้น  ระเบิดดังกล่าวไม่ว่าจะกระทำโดยใคร  มีผลสะเทือนต่ออนาคตการลงทุนเก็งกำไรมากกว่าระดับปกติเสมอ

คนที่มีตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบ หรือส่วนได้ส่วนเสียของตลาดหุ้น จะออกมาปลอบประโลมว่า ระเบิดดังกล่าว ส่งผลเสียหายในวงจำกัด และระยะสั้นๆ  ซึ่งทุกคนที่ได้ฟังย่อมรู้ว่า เป็นแค่ความพยายามปลอบขวัญนักลงทุนไม่ให้ตื่นตระหนกเฉพาะหน้า หรือพูดเพราะเคยปากแบบนกแก้วนกขุนทอง  ความจริงแล้ว คนที่พูดเองก็ยังคิดหรือจินตนาการไม่ออกด้วยซ้ำว่า ผลสะเทือนที่แท้จริงเป็นเช่นใด

สถานการณ์ยามนี้ นักสถิติบางคน ถือโอกาสนำเสนอสถิติย้อนหลังมาเทียบเคียงเพื่อค้นหา และตรวจสอบความรุนแรงของภัยพิบัติแต่ละชนิดที่นักลงทุนเคยแบกรับมาแล้ว สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจอยู่ที่ว่า แต่ละคนรู้เรื่องภัยพิบัติดีพอหรือไม่ และรู้ถึงผลสะเทือนของภัยพิบัติแต่ละประเภทที่มีต่อตลาดมากน้อยเพียงใด เพื่อจะรู้จักปฏิบัติอย่างมีจังหวะก้าวเพื่อลดความสูญเสียของตนเองให้น้อยลง

โดยทั่วไป ธรรมชาติของภัยพิบัติ มีหลายประเภท ได้แก่

ภัยธรรมชาติ เช่นน้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหว สึนามิ พายุ หรือ ภัยแล้ง

ภัยจากความแปรปรวนหรือล่มสลายทางเศรษฐกิจ ทั้งภายใน และภายนอก

ภัยจากความขัดแย้งทางอำนาจ (รัฐประหาร การจลาจล การประท้วง สงครามกลางเมือง และสงครามระหว่างประเทศทั้งในแบบและนอกแบบ)

ภัยจากโรคระบาด

ภัยจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐ หรือของประเทศอื่นๆที่สำคัญกะทันหัน

โดยข้อเท็จจริง การพิจารณาว่าภัยชนิดใดจะสร้างความเสียหายต่อนักลงทุนหรือตลาดมากที่สุด ตั้งบนพื้นฐานว่าภัยอย่างไหนที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อผลกำไรของธุรกิจจดทะเบียนหรือหลักทรัพย์ในตลาดมากหรือน้อย และระยะสั้นหรือระยะยาว

ภัยพิบัติแต่ละชนิด มีส่วนทำให้เกิดความเสียหายทั้งสิ้น แต่ในมุมกลับ ภัยพิบัติบางชนิด แม้จะมีความเสียหายเกิดขึ้นในระยะแรก แต่ระยะยาวกลับทำให้เกิดผลดียาวนาน การประเมินความเสียหายที่ตลาดหุ้นหรือหุ้นรายตัวจะได้รับ จึงต้องพิจารณาในรายละเอียด ดังที่มีคนเคยพูดเอาไว้นานแล้วว่า “พระเจ้าหรือปีศาจ อยู่ในรายละเอียด” นั่นเอง

ภัยธรรมชาติ และภัยอื่นๆบางอย่าง แม้ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินมหาศาล แต่ทำให้รัฐบาลต้องทุ่มเททรัพยากรออกมาฟื้นฟูความเสียหาย เป็นผลดีต่อธุรกิจวัสดุและก่อสร้าง ธุรกิจการเงิน และธุรกิจบริการมหาศาล 

ภัยจากโรคระบาดที่ใดก็ตาม  มีส่วนทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ในการผลิตยาหรือนวัตกรรมอื่นทางวิทยาศาสตร์ระดับโลก นอกเหนือจากถิ่นที่เกิดโรคระบาด ช่วยมนุษย์ยกระดับสุขภาพขึ้นสู่คุณภาพใหม่

ภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐ หรือของประเทศอื่น ที่ส่งผลกะทันหัน  เช่นกรณีการลดค่าเงินหยวนของจีน หรือการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารลางสหรัฐหรือ การควบคุมปริมาณไหลเวียนของทุน (ดังที่รัฐบาลกรีซ) หรือ ยึดกิจการเอกชนเป็นของรัฐ (กรณีเวเนซุเอลา) ฯลฯ เป็นภัยพิบัติที่มีผลรุนแรงในระยะสั้น แต่ในระยะยาวจะเป็นผลดี เพราะมิได้มีเป้าหมายที่มุ่งทำลายล้างถ่ายเดียว  เพียงแต่ว่าจะสามารถจะควบคุมผลข้างเคียงได้มากน้อยแค่ไหน

ภัยจากความขัดแย้งทางอำนาจ และภัยจากความแปรปรวนหรือล่มสลายทางเศรษฐกิจ ถือเป็นภัยที่ส่งผลรุนแรงต่อตลาดรุนแรงและซึมลึกมากสุด อีกทั้งเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของผู้คนอย่างรอบด้าน และล้ำลึก เกิดผลพวงต่อเนื่องที่ตามมาค่อนข้างมาก

 ยากที่จะบอกได้ว่า ภัยจากความขัดแย้งทางอำนาจ และภัยจากความแปรปรวนหรือล่มสลายทางเศรษฐกิจ อาจจะให้ผลลัพธ์ที่รุนแรงกว่า หรือยาวนานกว่ากัน เพราะภัยทั้งสอง มักจะเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน หรือเป็นเหตุที่มา และผลลัพธ์ต่อกันลึกซึ้ง หรือเกิดพร้อมกันแบบคู่ขนาน บางสังคม ใช้เวลายาวนาน เช่นกรณี การแตกสลายของยูโกสลาเวีย 2 ทศวรรษก่อน  หรือ ยูเครนในปัจจุบัน

ประวัติศาสตร์ของตลาดทุนทุกแห่งในโลก ตอกย้ำเสมอมาว่า ไม่ว่าภัยพิบัติประเภทไหน  ล้วนกระตุ้นปฏิกิริยาจากนักลงทุนแตกต่างกัน และการปรับตัวรับมือกับผลสะเทือนทางลบหรือบวก ก็มีรายละเอียดต่างกันเสมอ

ปฏิกิริยาดังกล่าว อาจะจะมีสูตรสำเร็จที่เป็นแบบแผนตายตัว ได้แก่ ในระยะเริ่มแรกที่รับข่าวสาร ตลาดจะมีแรงขายถล่มออกมารุนแรง เป็นปฏิกิริยาที่เรียกว่า “เข่ากระตุก”

หลังจากนั้น ตลาดจะเริ่มตั้งสติได้ และเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ตรงกันข้าม มีแรงซื้อกลับเฉพาะหน้าเพื่อตอบโต้แรงขายมากเกินขนาดขึ้น แสดงออกจากการตีกลับระยะสั้น ในรูปของ “แมวตายเด้ง” (dead cat bounce)  ซึ่งอาจกินเวลาวันเดียวหรือหลายวัน

พ้นจากระยะแล้ว เมื่อความอลหม่านเริ่มเจือจางลง นักลงทุนและตลาดตั้งสติได้ สามารถประเมินความเสียหาย หรือผลต่อเนื่องอย่างมีสติ  จะเกิดแรงเหวี่ยงตลาดรอบใหม่ใหม่ที่ชี้ว่า ความเสียหายจะเกิดมากหรือน้อย สั้นหรือยาว

กรณีวิกฤตฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตกของญี่ปุ่น ที่ทำให้สังคมญี่ปุ่นอยู่ในสภาพเงินฝืดและกับดักสภาพคล่องนานกว่า 20 ปี และดัชนีนิกเกอิไม่สามารถกลับไปที่ยอดสูงสุดเดิมในอดีตได้ เป็นตัวอย่างความล้ำลึกของปัญหา

ในขณะที่ดัชนีแนสแด็กใช้เวลา 15 ปีหลังฟองสบู่ดอทคอมแตก เพื่อกลับมาทำนิวไฮใหม่ ก็เป็นตัวอย่างที่น่าศึกษาถึงการกลับมารอบใหม่หลังภัยพิบัติ

ข้อสังเกตที่ต้องย้ำคือ  ไม่เคยมีตลาดหุ้นที่ใดในโลก ไม่เคยผ่านมรสุมของภัยพิบัติทุกชนิดที่กล่าวมา แต่ความสำเร็จหรือล้มเหลวของการเผชิญภัยพิบัติแต่ละอย่าง แต่ละครั้ง สะท้อนคุณภาพของตลาดแต่ละแห่งได้ดี

สำหรับตลาดหุ้นไทยในยามที่เศรษฐกิจสุ่มเสี่ยงต่อวิกฤตเงินฝืดทุกขณะ และหลังระเบิดใหญ่กลางเมือง ก็เป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่า จะรับมือได้ดีเพียงใด

 

Back to top button