พาราสาวะถี
ฟังคำอธิบายเรื่องตัวรัฐมนตรีที่ผ่านการปรับแล้วจากปากของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยิ่งทำให้เห็นว่า สิ่งที่ทำไปนั้นเพื่อหวังผลในมิติทางการเมืองเท่านั้น หาได้มีมิติที่จะทำให้ประชาชนฝากความหวังไว้ได้แม้แต่น้อย แม้กระทั่งการชี้แจงเรื่องส่ง นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ จากโฆษกรัฐบาลไปนั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยแรงงาน พยายามจะบอกหรือโชว์ให้เห็นวิสัยทัศน์ในการมองปัญหาภาคแรงงานและการให้ความสำคัญ แต่โจทย์ที่อธิบายดูเหมือนจะไปคนละทิศละทางกับความต้องการของผู้ใช้แรงงาน
อรชุน
ฟังคำอธิบายเรื่องตัวรัฐมนตรีที่ผ่านการปรับแล้วจากปากของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยิ่งทำให้เห็นว่า สิ่งที่ทำไปนั้นเพื่อหวังผลในมิติทางการเมืองเท่านั้น หาได้มีมิติที่จะทำให้ประชาชนฝากความหวังไว้ได้แม้แต่น้อย แม้กระทั่งการชี้แจงเรื่องส่ง นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ จากโฆษกรัฐบาลไปนั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยแรงงาน พยายามจะบอกหรือโชว์ให้เห็นวิสัยทัศน์ในการมองปัญหาภาคแรงงานและการให้ความสำคัญ แต่โจทย์ที่อธิบายดูเหมือนจะไปคนละทิศละทางกับความต้องการของผู้ใช้แรงงาน
บอกกันให้ตรงไปตรงมาก็ได้ เหตุผลที่ดันเจ๊บิ๊กอายขึ้นเก้าอี้เสนาบดีนั้นเพราะเหตุใด และทำไมต้องส่งไปในตำแหน่งดังว่านี้ เป็นที่รู้กันหากให้เก้าอี้ที่ใหญ่กว่านี้จะมีแรงกระเพื่อมภายในพรรคสืบทอดอำนาจอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันการส่งสองรัฐมนตรีใหม่ไปนั่งในกระทรวงเดียวกัน ก็เป็นภาพชัดเจนว่านี่คือคนของใคร มีเป้าหมายเพื่ออะไร รู้กันอยู่ สุชาติ ชมกลิ่น ที่กระโดดมาเป็นประธานส.ส.พรรคนั้นด้วยบารมีของใคร ถึงได้บอกปรับครม.หนนี้คนที่ได้กับได้คือ พี่ใหญ่กับน้องเล็ก นั่นเอง
เส้นทางเดินของรัฐบาลสืบทอดอำนาจ มีอยู่ 2 อย่างที่ทำให้คงอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องกังวลคือ กลไกของข้อกฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อตัวเองโดยเฉพาะ และองค์กรอิสระที่ทำตัวไม่อิสระและเห็นกันได้เด่นชัดว่ากระบวนการทำงานนั้นองค์กรใดเลือกปฏิบัติและรับใบสั่งหรือไม่อย่างไร แต่ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่คนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า จะมาอ้างโน่นโทษนี่เหมือน 6 ปีกว่าที่ผ่านมาไม่ได้อีกแล้ว ทุกอย่างต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้คนอยู่ดีกินดี
แต่ดูท่าว่าจะยาก เมื่อบนเวทีของสื่อสำนักหนึ่ง ท่านผู้นำประกาศเองว่า ประชาชนต้องช่วยตัวเองบ้างและต้องยอมรับสภาพความเป็นอยู่ที่จะต้องทนกันอย่างนี้อย่างน้อย 2-3 ปี หมายความว่า ถ้าเห็นว่าอะไรย่ำแย่ก็อย่ามาโทษรัฐบาลอย่างเดียว เพราะได้ทำทุกวิถีทางแล้วแต่มันได้แค่นี้ นี่จึงเป็นภาระของทีมเศรษฐกิจที่เข้ามาใหม่ต้องเร่งแสดงศักยภาพ สร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ อย่าให้ใครดูแคลนว่าเข้ามาเพื่อหวังเพียงแค่ชื่อเสียงเกียรติยศของวงศ์ตระกูลเท่านั้น
จะว่าไปไม่จำเป็นต้องเรียนรู้งานอะไรกันมาก เพราะคนที่มาใหม่ในสายเศรษฐกิจทั้ง ปรีดี ดาวฉาย และ สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ก็คือเงาที่อยู่ฉากหลังในฐานะที่ปรึกษาของท่านผู้นำและรัฐนาวามาตั้งแต่คราวครม.เผด็จการจนกระทั่งปัจจุบัน ดังนั้น ย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่ได้ให้คำแนะนำกันไปทำไมจึงแปรสภาพไปสู่ภาคปฏิบัติไม่ได้ผล เป็นเพราะกลไกอำนาจรัฐที่เทอะทะชักช้า หรือว่าข้อเสนอมันยากต่อการตอบสนองกันแน่ ที่แก้ปัญหาแบบเอกชน เมื่อกระโจนเข้าสู่สนามการเมืองแล้วจะทำได้อย่างที่เคยคิดไว้หรือไม่
ถ้าประเมินในแง่กระแสตอบรับต่อรายชื่อรัฐมนตรีดังกล่าวนั้น คงต้องยอมรับกันว่าในมิติเชิงบวกนั้นน้อยมาก ส่วนใหญ่หวั่นใจและมองไปในทางลบเสียมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจมอบเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีให้ ดอน ปรมัตถ์วินัย อีกตำแหน่งนอกเหนือจากความเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ยังมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น ในเมื่อเวลานี้ก็มีคนอยู่จนล้นเกินกว่าปริมาณงานที่มีอยู่ในมือแล้ว แทนที่ยกระดับให้คน ๆ หนึ่งน่าจะเจียดเก้าอี้อีกซักตำแหน่งให้คนนอกที่มีฝีมือจะดีกว่า
แต่ก็อีกนั่นแหละ กว่าจะตกล่องปล่องชิ้นกันเป็นครม.ประยุทธ์ 2/2 ก็ต้องไหว้วานกันขนานใหญ่ และใช้บริการคนกันเอง จะไปหาคนนอกที่ไหนที่มีประวัติหรู เป็นที่ยอมรับในวงกว้างมาร่วมงาน ไม่มีใครอยากมาเสียคนกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ประกอบกับไม่รู้ว่ารัฐบาลจะเดินกันไปได้สุดทางจนครบวาระหรือไม่ หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองที่ไม่คาดฝันกันเสียก่อน ก็ต้องมาเสียผู้เสียคนกันอย่างที่ไม่ควรจะเป็น คงต้องให้โอกาสรัฐมนตรีที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งพิสูจน์ฝีมือ ซึ่งคงไม่มีเวลาให้ยาวนาน 3 เดือนก็ควรจะเห็นผลกันแล้ว
ยังคงเคลื่อนไหวต่อเนื่องและมีความคึกคักกันไปทั่วประเทศ สำหรับเครือข่ายนักเรียน นิสิต นักศึกษาและภาคประชาชน ที่ไม่ทนกับรัฐบาลสืบทอดอำนาจอีกต่อไป มีการก่อม็อบกันทุกมุมเมืองโดยมีนิสิต นักศึกษาเป็นแกนหลัก ยืนอยู่บนข้อเรียกร้อง 3 ประการสำคัญคือ หยุดคุกคามประชาชน แก้รัฐธรรมนูญและยุบสภา โดยมีการนัดหมายชุมนุมใหญ่กันวันที่ 16 สิงหาคมนี้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ท่ามกลางแรงกดดันจากฝ่ายความมั่นคงที่เดินเกมต่อเนื่อง
การจับกุม อานนท์ นำภา ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และ ภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ ระยอง เป็นการส่งสัญญาณเตือนในเรื่องของการใช้กฎหมายดำเนินการกับแกนนำของกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งถูกแจ้งความดำเนินคดีกันจำนวน 31 คน โดยอีกหนึ่งคนที่ถูกออกหมายจับคือ พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แต่เจ้าตัวประกาศ “ขอยืนยันในแนวทางอารยะขัดขืน การจับครั้งนี้ไม่มีความชอบธรรม ดังนั้น ผมจะไม่ยอมรับกระบวนการใด ๆ”
สุดท้าย ทั้งสองรายที่ถูกจับก็ได้รับการประกันตัวในวงเงินคนละ 1 แสนบาท และห้ามกระทำการใด ๆ ในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหาในคดี งานนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อฝ่ายกุมอำนาจอย่างแน่นอน เพราะอย่าลืมเป็นอันขาดว่าหนึ่งในข้อเสนอของฝ่ายเคลื่อนไหวนั้นคือหยุดคุกคามประชาชน แม้จะมีการอ้างว่าทุกอย่างกระทำการตามกฎหมาย แต่วิธีการที่ใช้และข้อหาที่ดำเนินคดีนั้น มันดูเหมือนว่าหนีไม่พ้นเป็นเหตุผลทางการเมืองเสียมากกว่า
อย่างไรก็ตาม รายของทนายอานนท์นั้น มีคนแสดงความเป็นห่วงต่อท่าทีและการปราศรัยในบางเรื่อง กรณีดังกล่าวนั้น หากถูกดำเนินคดีก็ถือว่าเป็นความผิดส่วนบุคคลกันไป น่าสนใจคงเป็นประเด็นที่ขบวนการคนหนุ่มสาวปราศรัยกันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีบางพรรคการเมืองฝ่ายค้านไปเจรจาดีล “รัฐบาลแห่งชาติ” แน่นอนว่า ชูกันมาอย่างนี้พรรคที่จะหนีไม่พ้นข้อครหาคือเพื่อไทย เพราะการที่จะเกิดรัฐบาลแบบนั้นได้ต้องเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่เท่านั้น
คงเป็นเพียงแค่กระแสข่าวและการดักคอของขบวนการหนุ่มสาวเท่านั้น เนื่องจากสถานการณ์เวลานี้หากประเมินกันแล้ว มันเลยช่วงเวลาที่จะตั้งรัฐบาลสมานฉันท์กันแล้ว ตราบใดที่ยังมีรัฐธรรมนูญที่สืบทอดอำนาจฉบับนี้อยู่ รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นปัญหา เพียงแค่ว่ามองเห็นปัญหาในทิศทางเดียวกันหรือไม่เท่านั้น สิ่งเดียวที่จะพิสูจน์ว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะประสบความสำเร็จคือความจริงใจของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง กุญแจดอกแรกที่จะเปิดประตูคือมาตรา 256 ใคร พวกไหนที่ประกาศยินดีสนับสนุน ถ้าขวางประเด็นนี้ก็แสดงว่าท่าทีที่แสดงออกคือการตอแหล เล่นละครตบตาประชาชนนั่นเอง