พาราสาวะถี
ไหลลามเข้าไปในรั้วโรงเรียนอย่างเข้มข้นและดุเดือด สำหรับแนวร่วมม็อบประชาชนปลดแอก ที่วันวานปรากฏภาพของนักเรียนในหลายโรงเรียนทั่วประเทศแสดงออกด้วยการชู 3 นิ้วหน้าเสาธงพร้อมการผูกโบว์สีขาวและการติดแฮชแท็กในทวิตเตอร์ “โรงเรียนหน้าเขาไม่เอาเผด็จการ” โดยมีโรงเรียนบางแห่งที่ครูแสดงอาการโมโหถึงขั้นตบนักเรียนจนโทรศัพท์ที่ถ่ายคลิปร่วงจากมือ และอีกหลายพฤติกรรมที่แสดงออกถึงการวางอำนาจบาตรใหญ่
อรชุน
ไหลลามเข้าไปในรั้วโรงเรียนอย่างเข้มข้นและดุเดือด สำหรับแนวร่วมม็อบประชาชนปลดแอก ที่วันวานปรากฏภาพของนักเรียนในหลายโรงเรียนทั่วประเทศแสดงออกด้วยการชู 3 นิ้วหน้าเสาธงพร้อมการผูกโบว์สีขาวและการติดแฮชแท็กในทวิตเตอร์ “โรงเรียนหน้าเขาไม่เอาเผด็จการ” โดยมีโรงเรียนบางแห่งที่ครูแสดงอาการโมโหถึงขั้นตบนักเรียนจนโทรศัพท์ที่ถ่ายคลิปร่วงจากมือ และอีกหลายพฤติกรรมที่แสดงออกถึงการวางอำนาจบาตรใหญ่
นี่คือตัวอย่างของการกดทับข่มเหงรังแกในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ หากเห็นว่าไม่ควรจะใช้สถานศึกษาเป็นที่แสดงออก ก็ชี้แจงด้วยเหตุด้วยผล แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นครูบาอาจารย์แสดงท่าทีเช่นนี้ มันจึงหนีความรับผิดชอบไม่พ้น ความอดทนอดกลั้นที่สอนเด็ก ๆ ไม่ได้ถูกนำมาใช้ ไม่ว่าจะโกรธอย่างไร ก็ไม่มีสิทธิที่จะไปทำร้ายร่างกายเด็กหรือแม้กระทั่งการแสดงพฤติกรรมคุกคาม ข่มขู่ มันหมดยุคแล้วที่ว่าข้าสั่งอย่างไรพวกเองก็ต้องทำตามนั้น
ภาพที่ปรากฏสะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า ประชาธิปไตยที่เผด็จการสืบทอดอำนาจแอบอ้างนั้นมันเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ส่วนครูที่แสดงออกถึงพฤติกรรมคุกคามนักเรียน ก็ไม่รู้ว่าเป็นครูระดับไหน ถ้าระดับบริหารก็แสดงว่าเกรงจะได้รับผลกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่จึงต้องดำเนินการเช่นนั้น หรือถ้าเป็นครูชั้นผู้น้อยแล้วรับไม่ได้กับพฤติกรรมของนักเรียน ก็อาจสะท้อนได้ว่า ครูเหล่านั้นเลือกข้างอย่างแท้จริง หาได้เป็นแบบอย่างในการวางตัวเป็นกลางแต่อย่างใดไม่
เห็นเช่นนี้แล้วก็มีคำถามย้อนกลับไปถึงผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกับแนวทางรวมไทยสร้างชาติ มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ขนาดคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ชี้ทิศนำทางสอนสั่งเด็กที่เป็นอนาคตของชาติ ยังมีพฤติกรรมที่ไม่ได้ทำให้เด็กได้รู้สึกถึงกระบวนการการมีส่วนร่วมและแสดงออกอย่างเสรี หรือว่าครูเหล่านั้นลืมไปว่านี่ผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว และมีผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว ไม่ใช่เผด็จการคสช.เหมือนที่ผ่านมา จึงเลิกสอพลอหรือกลัวอำนาจติดหนวดได้แล้ว
ขณะที่ม็อบใหญ่เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นแล้วว่า พลังแห่งความไม่พอใจ พลังแห่งความเหลืออดที่มีต่อรัฐบาลสืบทอดอำนาจนั้นเป็นอย่างไร ดีใจที่ได้ยินแกนนำกลุ่มขับเคลื่อนย้ำข้อเสนอ 3 ข้อเรียกร้องหลัก 2 จุดยืนและ 1 ความฝัน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการยืนอยู่ในจุดที่ว่ายึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขีดเส้นใต้ตรงนี้ได้ จะทำให้การขับเคลื่อนของขบวนการหนุ่มสาวเข้มแข็งและมีพลังมากขึ้นไปอีก
เป็นเพราะเห็นจำนวนคนที่เข้าร่วมและท่วงทำนองการขับเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไปหรืออย่างไรไม่ทราบ ท่าทีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจึงดูหงุดหงิด ขึงขังแปลกไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายแล้ว มันก็ต้องย้อนกลับไปยังสิ่งที่บอกไว้แล้วว่า ถ้าต้องการจะก้าวข้ามหรือยุติความขัดแย้งทั้งปวง มันต้องมี “ความจริงใจ” เป็นพื้นฐานสำคัญเสียก่อน หากสักแต่ว่าพูดเพื่อซื้อเวลา ยื้อสถานการณ์ให้ผ่านไปวัน ๆ และหวังจะหาช่องโหว่ในการเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ก็เท่ากับเป็นการเลี้ยงกระแสความขัดแย้งเพื่อตัวเองเท่านั้น
การได้ฟังท่านผู้นำบอกว่าการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นนักศึกษาภายในเดือนนี้นั้น กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีการเตรียมการไว้แล้วจะต้องไปพูดคุยกัน แต่อย่าเพิ่งให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีลงไปโดยตรงตอนนี้ เพราะถ้าพูดจริง ๆ กลุ่มเคลื่อนไหวจะเล่นงานนายกฯ ซึ่งในส่วนของฝ่ายบริหารตอนนี้ให้ดำเนินการในการขับเคลื่อนแผนเศรษฐกิจต่าง ๆ จำนวนมาก เป็นการเล่นเอาล่อเอาเถิด ทั้งที่ก่อนหน้านั้นประกาศชัดว่ายินดีรับฟังทุกความเห็นที่แตกต่าง
แต่วันนี้นอกจากจะไม่ยินดีแล้ว ยังพยายามจะผลักไสและทำให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวของขบวนการหนุ่มสาวนั้น ไม่ถูกที่ถูกเวลา และอ้างเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งที่ เวลาผ่านมากว่า 6 ปีแล้ว ยังไม่มีปัญญาทำอะไรให้ดีขึ้น ไม่ต้องอ้างเรื่องของโควิด-19 เพราะวิกฤติดังกล่าวเพิ่งเกิดขึ้น ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเท่านั้น ยิ่งได้ฟังสิ่งที่บอกว่าเศรษฐกิจแถวราชดำเนินยิ่งมีปัญหาหนักข้อไปอีกจากการมาชุมนุมของกลุ่มประชาชนปลดแอก ยิ่งทำให้เห็นอาการแถหนักข้อจริง ๆ
หากว่ากันตามข้อเท็จจริง ม็อบเกิดขึ้นหนึ่งวันถ้าจะลองไปถามผู้ประกอบการแถวนั้นดู ระหว่างวันที่ไม่มีม็อบกับมีการชุมนุม การค้าขายช่วงไหนที่ดีกว่ากัน คงได้คำตอบที่ไม่ต้องเอาแต่ฟังพวกสอพลอมารายการ หรือเป็นการดิสเครดิตกันเท่านั้น ความจริงก็คือ เศรษฐกิจย่านนั้นมันฟุบมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งมีรัฐบาลเผด็จการ ตามมาด้วยโควิด-19 เลยเลวร้ายกันไปใหญ่ กลายเป็นว่าสิ่งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแสดงออกเวลานี้ ไม่แตกต่างอะไรจากนักการเมืองชั่วนักการเมืองเลวที่ตัวเองเคยยึดอำนาจมา
เวลาจวนตัวหรืออยู่ในช่วงวิกฤติของอำนาจ จะโยนขี้ให้ฝ่ายที่มาเรียกร้อง ขับไล่ทุกคราไป หนนี้ก็เช่นนั้น ถามว่าลำพังการชุมนุมของคนหนุ่มสาว หากข้อเรียกร้องไม่โดนใจจริง ๆ จะมีประชาชนแห่แหนไปร่วมกันขนาดนั้นหรือ มิหนำซ้ำ การขยายผลไปยังสถาบันการศึกษาในระดับมัธยม ก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่า เด็กรุ่นใหม่นั้น เขาไม่ต้องรอให้ใครมาจูงจมูกหรือเป็นม็อบจัดตั้งเพื่อโบกมือดักกวักมือเรียกรัฐประหาร ทำลายพัฒนาการประชาธิปไตยของประเทศเหมือนที่ผ่านมา
เห็นท่วงทำนองของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเช่นนี้แล้ว เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญคงไม่ต้องพูดถึงว่า มันจะเดินไปได้หรือไม่ นี่ก็เท่ากับปิดประตูตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ยิ่งความเห็นของพวกส.ว.ลากตั้งหลายรายล่าสุด ทั้งไม่เอาการแก้ไขมาตรา 256 ปฏิเสธการมีส.ส.ร.และอ้าง 16 ล้านเสียงที่ผ่านประชามติรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็มีคำถามว่า ถ้าเช่นนั้นก็ทำประชามติกันอีกรอบเอาแค่คำถามเดียว ประชาชนเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยว่า ใครพวกไหนที่โกหกตอแหลกันแน่ เชื่อขนมกินได้ต้องหาเหตุมาปฏิเสธการทำเช่นนี้สารพัดแน่ เพราะมีแต่เผด็จการเท่านั้นที่กลัวเสียงของประชาชน