พาราสาวะถี
หงุดหงิด อารมณ์บ่จอยเป็นเรื่องปกติสำหรับปุถุชนคนธรรมดา แม้ว่าจะมีหัวโขนเป็นทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่แรงกดดันที่มันถาโถมเข้าใส่ มิหนำซ้ำ ยังมาถูกนักข่าวต่างชาติตั้งคำถามประเด็นถูกม็อบนักเรียนเรียกว่าเป็นเผด็จการเข้าไปอีก ต่อให้อารมณ์ดีขนาดไหนก็ต้องบูดบึ้งได้ในฉับพลัน อีกนั่นแหละ นี่คือการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแม้จะดีไซน์เพื่อให้ขบวนการสืบทอดอำนาจได้อยู่ต่อไปโดยไม่แยแสเสียงใด ๆ ก็ตาม
อรชุน
หงุดหงิด อารมณ์บ่จอยเป็นเรื่องปกติสำหรับปุถุชนคนธรรมดา แม้ว่าจะมีหัวโขนเป็นทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่แรงกดดันที่มันถาโถมเข้าใส่ มิหนำซ้ำ ยังมาถูกนักข่าวต่างชาติตั้งคำถามประเด็นถูกม็อบนักเรียนเรียกว่าเป็นเผด็จการเข้าไปอีก ต่อให้อารมณ์ดีขนาดไหนก็ต้องบูดบึ้งได้ในฉับพลัน อีกนั่นแหละ นี่คือการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแม้จะดีไซน์เพื่อให้ขบวนการสืบทอดอำนาจได้อยู่ต่อไปโดยไม่แยแสเสียงใด ๆ ก็ตาม
สุดท้ายแล้ว เมื่อทุกอย่างมันเดินเข้ารูปเข้ารอยบนวิถีสิทธิและเสรีภาพ การเรียกร้องและยื่นข้อเสนอให้ผู้นำประเทศต้องทำในสิ่งที่คนทั่วไปมองเห็นว่าเป็นปัญหามันจึงต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหากยังท่องคาถาไม่ใช่เวลา บ้านเมืองมีเรื่องอื่นสำคัญที่ต้องแก้ไขก่อน ด้วยความเชื่อมั่นว่าอำนาจเผด็จการซ่อนรูปผ่านหน่วยงานด้านความมั่นคงจะสามารถจัดการม็อบที่กล้ามาตอแยได้ ก็รอวัดกันว่ามันจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่
เห็นท่วงทำนองการตอบโต้สื่อต่างประเทศที่บังอาจถามผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ตัวเองเชิดชูบูชา คงจะเป็นคำตอบของคำถามที่ว่าเหตุใดจึงมีการปูนบำเหน็จให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่ง สำหรับคนชื่อ ดอน ปรมัตถ์วินัย ก็ของเขาดีจริง ตอบโต้ทุกรูปแบบ ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนใจว่าตัวเองเคยเป็นนักการทูตมาก่อนหรือไม่ รู้และเข้าใจมารยาททางการทูตดีขนาดไหน แต่เพื่อปกป้องคนที่ตัวเองเคารพรักแล้วยอมชนได้ทุกอย่าง
จึงไม่แปลกใจจากที่มีข่าวว่าจะถอดใจไขก๊อกกลับได้ดิบได้ดีกว่าที่คาด นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการชอบสอพลอมากกว่ารับฟังปัญหาและข้อเท็จจริง ไม่ต้องมาอธิบายหรือกล่าวอ้างใด ๆ อีกกับกรณีที่เตรียมจะต่ออายุการบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปอีก 1 เดือน มันเป็นเรื่องของการใช้คุมม็อบการเมืองล้วน ๆ จะอ้างเหตุว่าเพราะมีกรณีหญิง 2 รายที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ทั้งที่ผ่านการกักตัว 14 วันมาแล้ว ก็คงไม่มีใครเชื่อ
ขณะที่อีกด้าน การไล่ตามจับแกนนำม็อบคณะประชาชนปลดแอก ตั้งแต่ทนายความ นักศึกษา จนกระทั่งมาถึงศิลปินเพลงแร็พ “ประเทศกูมี” ย่อมสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอกได้เป็นอย่างดี ข้อกล่าวหาที่ใช้นั้นชัดเจนว่าเป็นการตอบสนองคำสั่งทางการเมือง และไม่แปลกใจอีกเช่นกัน ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ เห็นข้อหาที่ยาวเป็นหางว่าวจากกฎหมายหลายฉบับแล้วต้องยอมรับว่า เรื่องแบบนี้ไม่มีใครเกินหรือสู้คนในวงการสีกากีของประเทศนี้ได้
ทว่าการเดินเกมแบบนี้ไม่มีทางที่จะหยุดความเคลื่อนไหวของขบวนการหนุ่มสาวได้ ปรากฏการณ์ม็อบขยับกันทั่วประเทศ ไหลลามเข้าไปถึงรั้วโรงเรียน มันย่อมสะท้อนภาพของการบริหารงานช่วง 6 ปีกว่าที่ผ่านมาของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจว่า เข้ามาแก้ไขยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นจริงหรือไม่ เรื่องการสร้างความปรองดองนั้นไม่ต้องพูดถึง มีแต่คิดและทำในเชิงสัญลักษณ์แบบไฟไหม้ฟางแต่ไม่เกิดมรรคผลใด ๆ
ถ้ายังจำกันได้ยุคของเผด็จการคสช.มีการผุดแคมเปญสร้างความสามัคคีของคนในชาติ พร้อมมาสคอตมือสองที่ชื่อน้องเกี่ยวก้อย ที่ใครต่อใครเห็นก็คิดว่าเป็นมนุษย์ป้าหรือหน้าไปคล้ายหลังบ้านของใครบางคน จนโดนคนค่อนขอดกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง นั่นน่าจะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายกระมัง ที่คนเห็นว่ารัฐบาลเผด็จการขยับเรื่องการสร้างความปรองดอง ตามข้อกล่าวอ้างของหัวหน้าคสช. แต่สุดท้ายไม่มีอะไรดีขึ้น และยังแย่กว่าเดิมเสียด้วยซ้ำไป
ความขัดแย้งเรื่องเสื้อสี ไม่มีหน่วยงานใดหรือองคาพยพของเผด็จการคสช. เข้าไปขับเคลื่อนให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็ทำให้รู้ได้ว่าการเลี้ยงกระแสความขัดแย้งไว้นั้น มันช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับการสืบทอดอำนาจได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งสุดท้าย ระดับนำของม็อบกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น คนเสื้อแดงภายใต้แกนนำนปช. คนเสื้อเหลืองอย่างระบอบสนธิ-จำลอง หรือแม้แต่ม็อบกปปส. เว้นคนที่ได้เชลียร์ท็อปบูธจนได้เป็นรัฐมนตรี คนเหล่านี้ต่างหันหน้ามาตั้งวงแลกเปลี่ยนกันอย่างต่อเนื่อง
ด้วยเหตุผลการต่อสู้ที่ผ่านมา สิ่งที่แกนนำทุกคนได้รับคือคดีความที่ตามมาเป็นพรวน ชีวิตช่วงบั้นปลายต้องเดินขึ้นโรงขึ้นศาล ขณะที่บางพวกบางฝ่ายที่อ้างเรื่องความขัดแย้งเข้ามาสู่วงจรแห่งอำนาจต่างเสพสุขกันสบายใจเฉิบ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นการขับเคลื่อนผ่านคณะกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎร ที่เชิญแกนนำเหล่านั้นมาแลกเปลี่ยนฟังข้อเสนอในการลดความเกลียดชัง และนำไปสู่การเสนอญัตติจนในที่ประชุมสภาฯ เห็นชอบเป็นเอกฉันท์ให้เดินหน้าเรื่องการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
หากพรรคร่วมรัฐบาลไม่เป็นส่วนหนึ่งในเกมแบ่งบทกันเล่น ท่าทีที่ขับเน้นผ่านถ้อยแถลงของ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย คือการส่งสัญญาณชัดว่า สถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่เวลานี้ อย่าได้คิดที่จะใช้กลไกทางกฎหมายไปเล่นงานเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาล หนทางแก้ที่ดีที่สุดคือ เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญตั้งส.ส.ร.และมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน จากนั้นยุบสภา แล้วว่ากันใหม่เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
ไม่ต้องไปยึดโยงกับพรรคร่วมอย่างประชาธิปัตย์หรือการเล่นเกมแทงกั๊กของพรรคสืบทอดอำนาจ เชื่อว่าเสี่ยหนูคงดูการเมืองออกมองสถานการณ์ทะลุ นาทีนี้ ดันทุรังต่อไปไร้ประโยชน์ ในเมื่อม็อบคนหนุ่มสาวเดินหน้าด้วยข้อเรียกร้องที่เป็นจุดแข็ง มันมีแต่จะสร้างแนวร่วมให้เพิ่มมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลยังมองไม่เห็นโอกาสความสำเร็จของงานที่ทำอยู่หรืออ้างว่าจะทำ เมื่อคนอดอยาก ปากท้องมีปัญหาและสัมผัสกันได้แล้วว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะไร้ฝีมือ มันจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องอดทน ทนอดกันอีกต่อไป