เลือกตั้งสหรัฐกับตลาดหุ้น
การเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐฯ กำลังเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่พรรคเดโมแครตเสนอชื่อ โจ ไบเดน ลงแข่งขัน และพรรครีพับลิกันสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ลงเลือกตั้งอีกสมัย แน่นอนว่าความสงสัยที่มีอยู่ในใจทุกคนคือ ใครจะชนะ และผลการเลือกตั้งจะมีความหมายต่อตลาดหุ้นอย่างไร
พลวัตปี 2020 : ฐปนี แก้วแดง (แทน)
การเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐฯ กำลังเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่พรรคเดโมแครตเสนอชื่อ โจ ไบเดน ลงแข่งขัน และพรรครีพับลิกันสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ลงเลือกตั้งอีกสมัย แน่นอนว่าความสงสัยที่มีอยู่ในใจทุกคนคือ ใครจะชนะ และผลการเลือกตั้งจะมีความหมายต่อตลาดหุ้นอย่างไร
สิ่งที่จะช่วยคาดคะเนและตอบข้อสงสัยเหล่านี้ได้ก็คือผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์หรือนักกลยุทธ์ในตลาด ในขณะนี้มีผลสำรวจของซีเอ็นบีซีออกมาแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นข้อมูลในเบื้องต้นที่มีประโยชน์ที่จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมรับกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ได้
ผลสำรวจของซีเอ็นบีซีชี้ว่า นักกลยุทธ์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าไบเดนจะชนะ แต่ยังมีความเห็นไม่ตรงกันว่า การเลือกตั้งจะมีความหมายต่อหุ้นอย่างไร
นักกลยุทธ์ 14 คน จากจำนวน 20 คน เลือกให้ไบเดนชนะทรัมป์ และครึ่งหนึ่งหรือ 10 คน คาดการณ์ว่า ดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะปรับตัวลงในเดือนแรกหลังวันเลือกตั้ง แต่ไม่ใช่นักกลยุทธ์ทุกคนที่มองว่าหุ้นจะตก เลือกไบเดน โดย 5 จาก 20 คนคาดว่า หุ้นจะขึ้น และมี 4 คนคาดว่าตลาดจะอยู่ในกรอบจำกัด และมีหนึ่งคนไม่ให้คำตอบ
นักกลยุทธ์ 8 คน คาดว่าดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะปรับตัวลง 5% ในเดือนแรกหลังการเลือกตั้ง โดย 3 ใน 8 ของกลุ่มนี้เลือกไบเดน อีกสองคนเลือกทรัมป์ และสองคนคาดการณ์ว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่มีการคัดค้าน นักกลยุทธ์ 2 คนที่ คาดว่าดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะปรับตัวลง 10% คนหนึ่งเลือกไบเดน อีกคน เลือกทรัมป์
นักกลยุทธ์ที่สำรวจมานี้ 19 คนอยู่ในสหรัฐฯ และ 1 คนอยู่ในเอเชียแปซิฟิก การสำรวจทำผ่านอีเมลในสัปดาห์ที่ผ่านมา
นักกลยุทธ์จำนวนหนึ่งเชื่อว่าตลาดมีปฏิกิริยาในทางลบเพราะนโยบายภาษีที่ไบเดนเสนอ หากไบเดนชนะและพรรคเดโมแครตได้ครองวุฒิสภา การเคลื่อนไหวที่สำคัญเป็นอันดับแรกในปี 2564จะลดลง เนื่องจากนโยบายภาษีจะเป็นรูปร่างได้
นักวิเคราะห์อีกคนกล่าวว่า ปฏิกิริยาของตลาดจะขึ้นอยู่กับว่า การแข่งขันเลือกตั้งวุฒิสภาเป็นเช่นไร หากเดโมแครตชนะในวุฒิสภา และไบเดนได้ครองทำเนียบขาว ตลาดจะดีดตัวได้ยากมากกว่าที่ไบเดนชนะ และรีพับลิกันยังคงได้ครองวุฒิสภา เนื่องจากไบเดนน่าจะสามารถดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายภาษีได้น้อยลงโดยไม่ถูกตรวจสอบภายใต้สถานการณ์นี้
มีนักกลยุทธ์เพียง 3 คน จากจำนวน 20 คนเท่านั้นที่คาดว่าทรัมป์จะได้ชัยชนะอย่างชัดเจนโดยไม่มีความขัดแย้ง และสนามเลือกตั้งในรัฐฟลอริดาจะเป็นตัวตัดสินอนาคตของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน แต่เชื่อว่าทรัมป์จะแพ้ในรัฐฟลอริดา ซึ่งจะทำให้ไบเดนชนะ
ในขณะที่นักลงทุนส่วนหนึ่งกังวลกับนโยบายภาษีของไบเดน แต่อีกส่วนหนึ่งรู้สึกว่า การดำเนินการตอบโต้ทั้งหมดต่อวิกฤตสุขภาพและข้อเสนอที่จะลงทุนในพลังงานสะอาดและสาธารณูปโภค อาจช่วยชดเชยความรู้สึกเป็นลบของนักลงทุนได้
เมื่อถามว่าตลาดจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อชัยชนะของทรัมป์ นักกลยุทธ์ 11 คน คาดว่า ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อาจดีดตัว 5% และอีก 5 คน กล่าวว่า ตลาดจะยังคงอยู่ในกรอบจำกัด และมีส่วนหนึ่งให้เหตุผลว่า ในขณะที่ทรัมป์ดีต่อตลาดทุนในสมัยแรก แต่ตลาดจะอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างจำกัดไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากนโยบายการจำกัดการค้าและผู้อพยพของทรัมป์ อาจกระทบอัตราผลผลิตทางเศรษฐกิจได้
ความเสี่ยงที่สำคัญสำหรับตลาดในความเห็นของนักกลยุทธ์ตลาด คือ มีการประเมินมูลค่าที่สูงมากแล้ว และมีแต่ข่าวที่เกี่ยวกับวัคซีนที่ช่วยหนุนตลาดให้ทำสถิติสูงสุด
สิ่งที่นักกลยุทธ์หุ้นกังวลอย่างชัดเจน คือ ความเป็นไปได้ที่การเลือกตั้งจะเกิดการถกเถียงอย่างรุนแรง และเมื่อถามว่าผลกระทบเช่นนั้นจะมีต่อตลาดอย่างไร นักวิเคราะห์ 11 คน คาดการณ์ว่าตลาดจะปรับตัวลง 5-10% และมี 5 คนคาดว่า ดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะมีแรงเทขายมากกว่า 10%
ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2543 ประธานาธิบดีจอร์จ บุช และ อัล กอร์ โต้เถียงกันเกี่ยวกับการนับคะแนนใหม่ในรัฐฟลอริดา จนศาลสูงสุดต้องเข้ามาแทรกแซง และมีการตกลงในขั้นสุดท้ายให้ บุชชนะในต้นเดือนธันวาคม ซึ่งกว่าเรื่องจะจบก็หลังจากวันเลือกตั้งนานกว่า 1 เดือน
ผลสำรวจได้สอบถามถึงประเด็นเรื่องจีน ด้วย ซึ่งนักวิเคราะห์ยังคงเชื่อว่า ความรู้สึกต่อต้านจีนในสหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองฝ่าย แต่การจัดการเรื่องความสัมพันธ์กับจีนของผู้สมัครสองคนจะแตกต่างกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์น่าจะแสดงท่าทีต่อต้านจีนรุนแรงมากขึ้น และจะมีผลกระทบต่อภาคเทคโนโลยีรุนแรงกว่าเรื่องการค้า แต่หากไบเดนได้เป็นประธานาธิบดี คาดว่าจะมีท่าทีไม่รุนแรงต่อความสัมพันธ์กับจีน แม้ว่าไบเดนจะพยายามนำตำแหน่งงานในภาคผลิตกลับสู่สหรัฐฯ ต่อไป แต่ก็คาดว่าจะแสดงท่าทีเผชิญหน้ากับจีนน้อยกว่า และการเจรจาต่าง ๆ จะกลับมามีสไตล์การทูตแบบเดิม ๆ
ข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงผลสำรวจความเห็นในเบื้องต้นที่ไม่อาจฟันธงได้ว่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ ระยะเวลาอีกสองเดือนกว่าก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง อาจจะมี “เหตุ” และ “ปัจจัย” ใหม่ ๆ เข้ามาได้อีก และต้องตระหนักไว้ว่า ในโลกการเมืองและการลงทุน ไม่มีอะไรแน่นอนและอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น