ลุ้นหุ้นหลัง Thailand Focus 2020

งาน  “ไทยแลนด์ โฟกัส 2020” (Thailand Focus 2020) ปีนี้แตกต่างจากทุกปี


ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร

งาน  “ไทยแลนด์ โฟกัส 2020” (Thailand Focus 2020) ปีนี้แตกต่างจากทุกปี

จากเดิม รูปแบบงานจะนั่งสัมมนากันในห้องใหญ่ ๆ

มีผู้สื่อข่าวทั้งของไทยและต่างประเทศมารอทำข่าว สัมภาษณ์ผู้บริหาร นักลงทุนกันจำนวนมาก

ทว่าปีนี้เมื่อเจอกับโควิด-19

เลยต้องปรับวิธีการสัมมนากันใหม่ มาในรูปแบบ Virtual Conference ถ่ายทอดผ่านทางเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ www.set.or.th

ในปีนี้งานถูกจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26–28 ส.ค. 63

เมื่อวานนี้ เป็นวันแรกมีผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน (บจ.) มาให้ข้อมูลกับนักลงทุน ที่มีผู้ลงทุนสถาบันจำนวน 193 ราย จาก 95 สถาบันทั่วโลกร่วมรับฟัง

บจ.ที่มาให้ข้อมูลมีทั้งหมด 53 บริษัท

วานนี้เริ่มจากผู้บริหารของ TU : บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), WHA : บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), AAV : บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน), BH : บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) และ DTC : บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)

ส่วนวันนี้และพรุ่งนี้ จะมีผู้บริหารของ บจ. ร่วมให้ข้อมูลกันเพิ่มเติมอีก จนครบทั้งหมด

ประเด็นที่นักลงทุน (ไทย) เฝ้าติดตามคือ ทิศทางตลาดหุ้นไทยหลังงาน ไทยแลนด์ โฟกัส 2020 จะไปต่อ หรือถอยหลัง

มีนักวิเคราะห์เขาทำสถิติตลาดหุ้นไทย หลังงาน ไทยแลนด์ โฟกัส ในแต่ละปี

เช่น บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้ข้อมูลว่า จากสถิติในอดีต 9 ครั้งล่าสุด

หรือนับตั้งแต่ปี 2554 หลังจากจัดงาน 2 สัปดาห์

ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 0.9% ด้วยความน่าจะเป็นราว 67% และนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 114 ล้านเหรียญ หรือราว ๆ 3,700 ล้านบาท

ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า ปกติหลังงานฯ ตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้น

ทว่า ในแต่ละปีนั้น จะมีปัจจัยหรือตัวแปรที่แตกต่างกันไป

จึงอาจไม่ได้หมายความว่า หุ้นจะต้องวิ่งขึ้นเสมอไปในทุกปี หลังงาน ไทยแลนด์ โฟกัส 2020 สิ้นสุดลง

อย่างในปีนี้ บล.เคทีบี ให้จับตา บรรยากาศการเมืองทั้งเรื่องการเตรียมการเพื่อขอแก้ไข “รัฐธรรมนูญ” และ “กระแสการเมือง” ในสื่อที่อาจมีผลต่อตลาดหุ้น

แต่ก็มีมุมของจากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ค่อนข้างน่าสนใจ

เอเซีย พลัส มองว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มดูดีขึ้น

มาจาก 2 เหตุผล คือ 1.ตลาดหุ้นไทย Laggard มากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก

ณ วันที่ 26 ส.ค. 2563 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีถึง -16.7%

ตัวเลขนี้ นับว่าลดลงมากสุดเป็นอันดับที่ 70 จากตลาดหุ้นทั่วโลกกว่า 93 ตลาด

ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นทั้งในประเทศพัฒนาแล้ว (MSCI World Market) และกำลังพัฒนา (MSCI Emerging Market) ให้ผลตอบแทนพลิกกลับมาเป็นบวก +2.7% (ytd) และ +0.01% (ytd) ตามลำดับ

และ 2.Valuation ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น

เหตุผล มาจาก ดัชนี ณ ปัจจุบัน ปรับฐานลงมาจนมี Market Earning Yield Gap ปี 2564 มากถึง 5%

และยังเห็นอัพไซด์ที่เปิดกว้างจากเป้าหมายของดัชนีปี 2564 แบบ Conservative ด้วยวิธี Market Earning Yield Gap ที่ระดับ 4.5%

ทำให้ได้ผลลัพธ์เป้าหมายดัชนี คือ 1,450 จุด (กรณีคงดอกเบี้ย) และ 1,526 จุด (กรณีลดดอกเบี้ย 0.25%)

สรุป… เอเซีย พลัส แนะนำว่า นี่คือโอกาส “ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐาน” แข็งแกร่ง

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามลำดับต่อจากนี้ ทั้งในส่วนของกำไรและปัจจัยบวกหนุน พร้อมยกตัวอย่างหุ้นที่ว่านี้ คือ SAT, AAV และเพิ่ม STGT ที่มีการปรับประมาณการ และ Fair Value ขึ้น

ความเห็นของ เอเซีย พลัส ล่าสุดนี้ น่าสนใจ

เพราะก่อนหน้านี้ หรือย้อนหลังไปซัก 2-3 เดือน

โบรกฯ แห่งนี้ ออกมาระบุว่า ตลาดหุ้นไทยแพง และแนะให้ปรับพอร์ต พร้อมระวังการเข้าลงทุนมากขึ้น

ผ่านมาถึงตอนนี้ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง และมีข้อมูลใหม่เข้ามาเป็นบวกกับตลาด

จึงมีการปรับมุมมองออกไปบ้าง

การมองเชิงบวกที่ว่านี้ เมื่อนำมารวมกับประเด็นงาน ไทยแลนด์ โฟกัส 2020

ทำให้น้ำหนักที่หุ้นไทยจะดีดขึ้นมา มีค่อนข้างสูง

ส่วนนักลงทุนเอง

ก็คงต้องควานหาหุ้น ที่เข้าให้ถูกตัว และถูกจังหวะนั่นแหละ

Back to top button