อนาคตที่ปลายอุโมงค์พลวัต2015
ดัชนีดาวโจนส์เมื่อวันศุกร์ดิ่งลงมากกว่า 500 จุด แนวรับ 17,000 จุด หมดสภาพ กลายเป็นแนวต้านทันที อยู่ที่จุดเกือบต่ำสุดของปี คำถามคือ คำอธิบายของนักวิเคราะห์กลยุทธ์ลงทุนในวอลล์สตรีทว่า การดิ่งลงของดาวโจนส์หนักเพราะต้องการส่งสัญญาณเตือนเฟดว่าไม่ควรขึ้นอัตราดอกเบี้ย มีมูลแค่ไหน
ดัชนีดาวโจนส์เมื่อวันศุกร์ดิ่งลงมากกว่า 500 จุด แนวรับ 17,000 จุด หมดสภาพ กลายเป็นแนวต้านทันที อยู่ที่จุดเกือบต่ำสุดของปี คำถามคือ คำอธิบายของนักวิเคราะห์กลยุทธ์ลงทุนในวอลล์สตรีทว่า การดิ่งลงของดาวโจนส์หนักเพราะต้องการส่งสัญญาณเตือนเฟดว่าไม่ควรขึ้นอัตราดอกเบี้ย มีมูลแค่ไหน
สำหรับนักคิดสำนักทฤษฎีเกมโจทย์ข้างต้นท้าทายหาคำตอบยิ่งนัก
อย่างที่ทราบ กรรมการเฟดหลายคนที่เป็นสายเหยี่ยว ต้องการให้เฟดตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือเฟดฟันด์เรต ในการประชุมกลางเดือนกันยายนนี้ โดยอ้างถึงสถิติดัชนีที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจ้างงานที่เริ่มเข้าสู่ช่วงจ้างงานเต็มที่แล้ว แต่ก็มีกรรมการบางคนมองว่าราคาน้ำมันที่ร่วงแรงจากการวิ่งขึ้น เพราะค่าดอลลาร์ทำให้เป้าหมายเงินเฟ้อ 2% ยากจะบรรลุได้ จึงไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพราะอาจทำให้เศรษฐกิจทรุดกลับลงไปเพราะความปั่นป่วนของเศรษฐกิจทั่วโลก เนื่องจากแรงเหวี่ยงของค่าดอลลาร์ที่แข็งตามอัตราดอกเบี้ยเฟด
หนึ่งในความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นแล้วรุนแรง คือ ราคาน้ำมันที่ดิ่งลงจุดต่ำสุดรอบ 70 เดือน อันเป็นโจทย์สำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นพลังงานพากันย่ำแย่ทั่วโลก
ในระยะสั้นนี่คือข่าวร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ระยะกลางและยาวนี่คือข่าวดี เหตุผลเพราะ 6 ปีที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์เป็นขาขึ้นมาโดยตลอดอาจจะมีปรับฐานหรือพักฐานในระหว่างทางบ้าง แต่ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้มันคือตลาดขาขึ้นในยามที่เศรษฐกิจสหรัฐฯเลวร้ายในช่วงหลังวิกฤตซับไพรม์
ดัชนีดาวโจนส์ S&P500 ทำนิวไฮในยามที่ตลาดเป็นขาขึ้นเศรษฐกิจที่ยังต้องพึ่งพามาตรการ QE นาน 6 ปีถือเป็นขาขึ้นเทียม ซึ่งเมื่อเลิก QE ไปแล้วก็ควรที่จะปรับฐานเสียทีเพื่อกลับสู่ความจริง แต่ก็ไม่เกิดขึ้นนานหลายเดือน จนกระทั่งมาเกิดล่าสุด ทำให้ขวัญผวากันยกใหญ่
ตลาดที่ปรับฐานเพราะสุดทางที่จะไปต่อ ไม่ถือว่าเป็นตลาดที่พังทลาย แต่เป็นการปรับสมดุลเข้าสู่ความเป็นจริงโดยมีเหยื่อสำคัญคือความคาดหวังที่เกินจริงของนักลงทุน
เช่นเดียวกันตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ของจีน เมื่อปลายเดือนธันวาคมปีก่อนอยู่ที่ดัชนีระดับ 2,000 จุด จากนั้นใช้เวลา 5 เดือนมาถึงที่ระดับ 5,100 จุด ต้นเดือนมิถุนายน ขึ้นมามากถึง 3,000 จุด หรือ 150% ก่อนจะปรับตัวลงแรง มาอยู่ที่ล่าสุด 3,507 จุด ปรับลงไป 1,500 จุด หรือ 30% ของยอดสูงสุด
ปฏิกิริยาแรกสุดของทางการจีนคือยอมรับว่าตลาดปรับฐานแต่เมื่อปรับฐานแรงมาก 4,000 จุด ทางการจีนกลับมีมุมมองใหม่ว่าถูกกองทุนต่างชาติทุบ จึงออกมาตรการสารพัดประมาณ 10 อย่าง ในจำนวนนั้นคือห้ามคนถือหุ้นบริษัทเกิน 5% ขายหุ้น ซึ่งเป็นเรื่องบ้าบอสิ้นดีและปลายเหตุ
ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ทำท่าดีดกลับจากมาตรการของทางการ 10 ข้อไปที่ระดับ 4,100 จุด แต่ก็ไม่รอดเพราะผิดธรรมชาติ จากการที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดมีผลประกอบการย่ำแย่ ดันให้ดัชนีปรับลงอีกรอบมาถึงจุดต่ำ ล่าสุดปรากฏการณ์ของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ล้วนเกิดจากการขึ้นที่ผิดธรรมชาติและการพยายามแก้ที่ผิดธรรมชาติ ขณะที่ปรากฏการณ์ในวอลล์สตรีทก็เกิดจากสภาวะผิดธรรมชาติเช่นกัน แต่กลไกของตลาดปรับตัวและแก้ปัญหาด้วยกลไกที่ไม่ผิดธรรมชาติเพราะปล่อยให้มือ “ที่มองเห็น” ทำงานด้วยตัวมันเองที่ปรับสมดุล ดังนั้นหากประเมินผลลัพธ์ย่อมชี้ชัดว่าในระยะต่อไปตลาดวอลล์สตรีทมีโอกาสตื่นจากความฝันเหนือจริงมาสู่ความสมเหตุสมผลได้ดีกว่า
โจทย์ที่ต่างกันของวอลล์สตรีทและเซี่ยงไฮ้ สามารถนำมาพิจารณากรณีตลาดไทยเช่นกัน
ปีนี้เศรษฐกิจไทยย่ำแย่เป็นโบว์ดำของรัฐบาลจากการรัฐประหาร ทำให้ชาติที่มีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศสูงอันดับที่ 13 ของโลก และมีเงินล้นระบบธนาคารพาณิชย์มากกว่า 9 แสนล้านบาท มีจีดีพีต่ำต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน ตัวเลขส่งออกและนำเข้าย่ำแย่อาจจะติดลบแม้ดุลการค้ายังได้เปรียบ ส่งสัญญาณให้ภาคเอกชนลดการลงทุน ผลกำไรตกต่ำลง และตลาดหุ้นร่วงจากจุดสูงสุดเหนือ 1,600 จุด มาอยู่ที่ระดับ1,360 จุด หรือลดลง 30%
สาเหตุหลักมาจากนโยบายที่ผิดพลาดของทีมงานรัฐบาลที่ไม่เอาไหน ยึดมั่นกับแนวทางตั้งรับมากกว่าเชิงรุก ไม่เข้าใจสถานการณ์ ไม่สามารถสร้างบรรยากาศแห่งความหวังให้ภาคเอกชนได้ และปล่อยให้กำลังซื้อในประเทศตกต่ำลงอย่างมีเจตนา โชคยังดีที่รู้ตัว สามารถเปลี่ยนแปลงทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจได้ก่อนสายเกินไป
สถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทย จึงอยู่ในจุดที่มีโอกาสดีอย่างมากเพราะมีเครื่องมือและกลไกที่เป็นธรรมชาติมากกว่ากลไกที่ผิดธรรมชาติเกื้อหนุนอยู่ ช่วยให้การฟื้นตัวกลับทิศเป็นขาขึ้นง่ายกว่ามาก
ในด้านเศรษฐกิจทีมงานเศรษฐกิจชุดใหม่เพียงแค่ขับเคลื่อนกลไกที่มีสนิมเขรอะให้คล่องตัว เช่น เร่งเบิกจ่ายงบประมาณค้างท่อจำนวนมหาศาล กระตุ้นกำลังซื้อในต่างจังหวัดไม่ต้องกลัวข้อหาประชานิยม และสร้างโครงการภาครัฐเร่งด่วนที่ไม่ใช่ผักชีโรยหน้า เท่านี้ความหวังก็กลับคืนมา เอกชนจะได้ตัดสินใจลงทุนเพิ่มเพราะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เจิดจ้ากว่าปัจจุบัน
อย่างน้อยสุดดัชนีตลาดที่ระดับ1,360 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก็จะเป็นแค่แนวรับสุดท้ายที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่แนวรับแรกที่พร้อมจะเป็นแนวต้านเสมอ
ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปกปิดได้คือ ผลประกอบการของบริษัทมหาชนจดทะเบียนในครึ่งแรกของปีนี้ยังเติบโตทั้งรายได้และกำไรที่ดีต่อ โดยเฉพาะกำไรที่เหนือกว่าจีดีพี ยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยที่ถูกมองว่าย่ำแย่นั้นเป็นความรู้สึกมากกว่าความจริง พี/อีล่าสุดของตลาดไทยบอกไว้ชัดเจนว่าถึงเวลาของการเข้าซื้อครั้งใหญ่แล้ว การขายของต่างชาติต่อเนื่อง เพราะค่าดอลลาร์ขาขึ้นในช่วงที่ผ่านมา อาจจะไม่จบลงทันทีแต่นับวันจะหมดพลังขายลงทุกขณะพระเอกตัวจริงของตลาดหุ้นไทยยังเป็นรายย่อย
ขอเพียงรายย่อยเปลี่ยนมุมมองมามองเห็น “ฟากฟ้าดาราพราย” ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่เหนือ 1,450 จุดในเดือนกันยายนนี้ เป็นไปได้ไม่ยาก
แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในวันนี้ โดยไม่ต้องแยแสกับดาวโจนส์และเซี่ยงไฮ้ จึงไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรูแบบเกมมายากลของภาษา