SET ที่แสนแพง
แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมจำลงมาแถวแนวรับ 1,310 จุด แต่ค่าพี/อีล่าสุดของตลาดเมื่อสิ้นวันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายนที่ผ่านมายังคงสูงลิ่วที่ระดับ 22.5 เท่า ส่วนดัชนีตลาด mai ก็ไม่ธรรมดาอยู่สูงกว่า 25 เท่า
พลวัตปี 2020 : วิษณุ โชลิตกุล
แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมจำลงมาแถวแนวรับ 1,310 จุด แต่ค่าพี/อีล่าสุดของตลาดเมื่อสิ้นวันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายนที่ผ่านมายังคงสูงลิ่วที่ระดับ 22.5 เท่า ส่วนดัชนีตลาด mai ก็ไม่ธรรมดาอยู่สูงกว่า 25 เท่า
ค่าพี/อีดังกล่าวถือว่าราคาหุ้นโดยเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าเกินข้อเท็จจริงของพื้นฐานบริษัทจดทะเบียน
ถ้ามองจากมุมของพื้นฐานว่าค่าพี/อีของดัชนี SET ควรอยู่ที่ระหว่าง 15-16 เท่า เมื่อเทียบกับค่าพี/อีของตลาดในเอเชียด้วยกัน ดังนั้นการที่จะให้ราคาหุ้นในตลาดไทย “น่าซื้อ” จึงมีทางเลือกเดียวเท่านั้นคือราคาหุ้นโดยเฉลี่ยต้องลงไปอีกจากระดับปัจจุบัน
กรณีที่จะเพิ่มโอกาสทำกำไรสุทธิเพิ่มในปีนี้ค่อนข้างยาก ทางเลือกด้วยการกดราคาหุ้นลงไป จึงมีเหตุผลและเป็นไปได้มากที่สุด (ตามหลักการเรื่อง “โลกที่ดีสุดเท่าที่เป็นไปได้” หรือ the best of all possible world)
หากมองด้วยจิตอุเบกขา ดัชนีหุ้นไทย SET ควรต้องลงไปต่ำกว่า 1,200 จุด ถึงจะได้เวลารับซื้อระลอกใหม่ …ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพียงแต่ว่า หากพูดถึงความน่าจะเป็น หรือโอกาสที่น่าจะเป็นไปได้ใครจะกล้ายืนยันว่ามีช่องทางเปิดกว้างรออยู่
โดยภาพรวม การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ยังแพร่กระจายรุนแรง ล่าสุดวานซืนที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกมียอดสะสม 27 ล้านคนเศษ และหลายประเทศยังคงมีการแพร่ระบาดอันน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะยุโรป สหรัฐฯ บราซิล และอินเดีย และอีกหลายประเทศ รวมทั้งไทยมีโอกาสที่จะได้เห็นการกลับมาระบาดระลอกสองได้
ตราบใดที่โควิด-19 ยังระบาดในระดับน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ โอกาสที่จะได้เห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ น่าจะถูกยืดระยะเวลาออกไป เนื่องจากการเฝ้าระวังจะยังคงต้องเข้มงวดต่อไปในระดับทั่วโลก
มาตรการสวมหน้ากากป้องกัน มาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม และการล็อกดาวน์การเดินทางจะยังคงดำรงต่อไป แม้ว่าหลายประเทศจะยังคงอยากผ่อนคลายทางด้านธุรกิจ แต่ท้ายที่สุด การล็อกดาวน์จะกินเวลายาวนานกว่าที่เคยคิดเอาไว้
การล็อกดาวน์ที่ทำกันระดับโลก ส่งผลเสียหายต่อเนื่องธุรกิจท่องเที่ยว ค้าปลีก สายการบิน รถยนต์สาธารณะ พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ และเกี่ยวเนื่อง เพราะ นักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์จากกำลังซื้อที่อ่อนแอซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก โดยปริยาย
ธุรกิจการเงินย่อมได้รับผลกระทบที่ซึมลึกมากกว่าปกติ แต่นายธนาคารก็ยังคงใช้วาทกรรมและความสามารถในด้านตัวเลขทางบัญชีมาใช้ในการแอบ “เล่นซ่อนหา” เพื่อยื้อเวลาออกไป แม้ว่าท้ายสุดผลลัพธ์ก็ไม่ได้ดีกว่าการไม่ทำอะไร
นักลงทุนในตลาดหุ้นยามนี้ แม้ว่าจะพยายามดิ้นรน ตรงกันข้างกับ “ท่าทีอันตรายอย่าง” ไม่สนใจกราฟ ไม่อ่านงบ ไม่เขียนสูตร ไม่เฝ้าจอ ไม่ง้อข่าว “สักเพียงใดก็มักจะพบว่าถ้าหากปิดงวดสิ้นปีเมื่อใดโอกาสที่จะขาดทุนหรือติด “กับดักของลูซิเฟอร์” เป็นไปได้ ไม่ว่าจะ “เอาชนะตลาด” หรือไม่
กรณีของไทย แม้ว่าตัวเลขการแพร่ระบาดจะเบาลงอย่างมาก แต่การที่มีแนวโน้มที่จะกลับมาระบาดในระลอกสองก็น่าจะต้องเข้มงวดกันต่อไป
กรณีที่ กระทรวงสาธารณสุขไทย แถลงว่าพบผู้ต้องขังชายติดเชื้อโควิด-19 เป็นการตรวจพบเชื้อขณะที่กักตัวในขั้นตอนแรกรับก่อนส่งเข้าเรือนจำกลางบางเขน ซึ่งนักโทษรายดังกล่าวมีอาการป่วยเล็กน้อยจากการมีเสมหะตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.และมารายงานการตรวจพบเชื้อในวันที่ 2 ก.ย. โดยไม่มีประวัติการเดินทางออกไปยังต่างประเทศในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นการพบผู้ติดเชื้อในประเทศอีกครั้งหลังจากที่ไม่พบมาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 100 วัน
ขณะที่พบว่ามีผู้สัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะติดเชื้อ 5 รายเป็นบุคคลในครอบครัว ซึ่งทีมสอบสวนโรคได้ลงพื้นที่เพื่อเก็บตัวอย่างไปตรวจหาเชื้อ พร้อมกันนั้นยังได้ติดตามไปตรวจสอบที่ทำงานของผู้ต้องขังรายดังกล่าวที่มีอาชีพเป็นดีเจในผับแห่งหนึ่งในย่านพระราม 3 และร้านในถนนข้าวสาร โดยสั่งให้ปิดร้านดังกล่าว 3 วันเพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ รวมทั้งตรวจผู้ที่มีโอกาสสัมผัสกับผู้ติดเชื้อด้วย
แม้จะมีคำปลอบใจล่วงหน้า ในลักษณะยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อการแพร่เชื้อไปยังผู้ต้องขังหรือนักโทษรายอื่นในเรือนจำ เพราะได้มีการแบ่งแยกพื้นที่ผู้ต้องขังชัดเจนในรายที่เข้ามาใหม่ อีกทั้งผู้ต้องขังรายนี้ไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศอยู่ในประเทศไทยตลอด…ไม่ถือว่าเป็นข่าวน่ายินดีเลย
โอกาสที่บริษัทจดทะเบียนจะทำกำไรน้อยลง และค่าพี/อีที่สูงลิ่ว ทำให้ปิดทางขาขึ้นของดัชนี SET และเปิดทางให้กับขาลงมากกว่าขาขึ้น
โดยเฉพาะการปล่อยข่าวลือเพื่อหวังผลสกัดการชุมนุมทางการเมืองว่า จะมีการรัฐประหารขึ้น ยิ่งเป็นตัวการซ้ำเติมให้ขาลงของดัชนี SET มีน้ำหนักมากขึ้น
อย่าได้แปลกใจเลยว่า ดัชนีมีโอกาสร่วงหลุดใต้ 1,300 จุดอันเป็นแนวรับสำคัญ แล้วเปลี่ยนให้กลายเป็นแนวต้าน เพราะ……อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้