พาราสาวะถี
ข่าวลือเรื่องการรัฐประหาร แม้ว่า พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ จะสั่งให้หน่วยงานในสังกัดออกมาแก้ข่าวอย่างไร ก็ไม่ได้ทำให้คนเชื่อว่ามันจะไม่เกิดขึ้น จนกว่าจะผ่านพ้นวันที่ 30 กันยายนไปแล้ว อันหมายถึงว่า บิ๊กแดงได้กลายเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารบกไปนั่นแหละ ทุกอย่างจึงจะสงบนิ่ง เช่นเดียวกับการที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจบอกกับนักข่าวว่าคำถามเรื่องนี้ “เลอะเทอะ” ก็ไม่ลองย้อนกลับไปดูก่อนยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 ใครกันที่บอกว่าไม่ทำสุดท้ายก็อยู่มานานกว่า 6 ปี
อรชุน
ข่าวลือเรื่องการรัฐประหาร แม้ว่า พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ จะสั่งให้หน่วยงานในสังกัดออกมาแก้ข่าวอย่างไร ก็ไม่ได้ทำให้คนเชื่อว่ามันจะไม่เกิดขึ้น จนกว่าจะผ่านพ้นวันที่ 30 กันยายนไปแล้ว อันหมายถึงว่า บิ๊กแดงได้กลายเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารบกไปนั่นแหละ ทุกอย่างจึงจะสงบนิ่ง เช่นเดียวกับการที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจบอกกับนักข่าวว่าคำถามเรื่องนี้ “เลอะเทอะ” ก็ไม่ลองย้อนกลับไปดูก่อนยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 ใครกันที่บอกว่าไม่ทำสุดท้ายก็อยู่มานานกว่า 6 ปี
นี่คือความจริงของการเมืองประเทศไทย ยิ่งล่าสุดมีการปล่อยตัวแบบแปลก ๆ กรณีของ อานนท์ นำภา กับ ภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง โดยศาลระบุว่าพนักงานสอบสวนสน.สำราญราษฎร์ได้ยื่นคำร้องขอให้ยกเลิกการฝากขัง โดยอ้างถึงการสอบสวนคดีได้สิ้นสุดลงแล้ว เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเดิมทีคนเข้าใจว่าทั้งคู่น่าจะถูกขังยาว จนกว่าการชุมนุมใหญ่ 19 กันยายนนี้จะผ่านพ้นไปก่อน พอเป็นเช่นนี้ ก็ชวนให้คิดกันได้หลายแง่มุม
การเมืองเรื่องหน้ากระดานนั้นเป็นสิ่งที่ต้องติดตามกันปกติอยู่แล้ว แต่หลังฉากหรือเบื้องหลังไม่มีใครรู้ว่าแต่ละฝ่ายเล่นเกมอะไรกันอยู่ แต่สำหรับนักเคลื่อนไหวแล้วโดยเฉพาะแกนนำ ต้องหนักแน่น ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินหรือไปสัมผัสมา เพราะนั่นจะทำให้เดินเกมพลาดในทันที คงอยู่ที่ว่าสิ่งที่แกนนำหลักของขบวนการคนหนุ่มสาวไปเจอมาก่อนได้รับการปล่อยตัวนั้น จะทำให้เกมเปลี่ยนไปในทิศทางใดหรือไม่ ซึ่งถ้าหลุดไปจากที่ขับเคลื่อนกันมาหรือย่ามใจ ฮึกเหิม เกรงว่าจุดจบจะเป็นอีกแบบ
กลเกมของฝ่ายกุมอำนาจนั้นไม่ธรรมดาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องติดตามกันมากกว่าคือการเคลื่อนไหวหลังฉากของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ถ้าหลงกลหลงเหลี่ยมของฝ่ายที่เข้ามายกหางหรืออุ้มชู มีโอกาสที่จะเกมกันเอาง่าย ๆ ความเปลี่ยนแปลงที่ต้องการอยากจะให้เกิดนั้น ต้องรู้กันว่าเป้าหมายคืออะไร และต้องสู้อย่างไร หากคิดว่าจะมีใครจริงใจและทำให้ทุกอย่างเดินไปได้โดยง่าย อย่าได้หวัง เหมือนประเภทของฟรีและดีไม่มีในโลกอะไรประมาณนั้น
ปากก็บอกว่าไม่ขวางเรื่องการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ท่านผู้นำก็ย้ำแล้วย้ำอีกกับนักข่าวว่า งบประมาณที่จะใช้จัดทำนั้นทางกกต.แจ้งมาแล้วว่า จะมากกว่ารอบที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 3,000 พันล้านบาท ขยับไปสูงถึง 4,000 ล้านบาทเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เพราะต้องจัดรูปแบบการลงคะแนนที่ปลอดภัย ยังไม่รวมค่าพิมพ์เอกสารรายละเอียดร่างรัฐธรรมนูญ อยากถามว่าที่ยกมาตรงนี้เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า งบมากแค่ไหนก็จะหามาให้ หรือหาแนวร่วมให้เกิดการต่อต้านว่าอย่าแก้ไขกันในช่วงนี้เพราะคนยังเดือดร้อน
นี่ก็อีกหนึ่งท่วงทำนองในความเขี้ยวทางการเมืองของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ที่ต้องจับตามองกันอย่างใกล้ชิดคงเป็นความเคลื่อนไหวของส.ว.ลากตั้งทั้งหลาย ที่จู่ ๆ คนซึ่งเป็นผู้ชงให้เกิดคำถามพ่วงเพื่อให้ส.ว.มีอำนาจร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี อย่าง วันชัย สอนศิริ จะออกมาประกาศปิดสวิตช์ตัวเองจากอำนาจดังกล่าว มันคงไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาอย่างแน่นอน คนเหล่านี้หาได้มีความเป็นตัวของตัวเองไม่ ทุกอย่างต้องผ่านกระบวนการชักใย เชื่อมโยงกับอำนาจสืบทอดอย่างแยกไม่ได้
ชัดเจนมากขึ้นไปอีกกับท่าทีอันแปลกแปร่งของส.ว.กับกรณีของกลุ่มส.ว.อิสระ ที่ กิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ออกมายืนยันว่ามีกว่า 60 คนและนัดประชุมกันบ่ายสามโมงเมื่อวานที่ผ่านมา ปรากฏว่าพอถึงเวลานัดหมาย มีมากันเพียงสองคนเท่านั้นคือ กิตติศักดิ์ และ ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม โดยทั้งคู่ต่างให้สัมภาษณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า ไม่ใช่วงแตก แต่เพราะส.ว.ส่วนใหญ่ที่ร่วมลงชื่อไม่อยากปรากฏตัวให้สื่อเห็น จึงต้องนัดหมายกันใหม่
อย่างไรก็ตาม พอไปตรวจสอบกลุ่มไลน์ของกลุ่มส.ว.อิสระดังกล่าว ก็พบว่ามีคนออกจากกลุ่มไปกว่า 30 คน นี่ย่อมเป็นสัญญาณว่าท่าทีที่ขึงขัง คึกคักก่อนหน้านั้น เป็นเพียงการโยนหินถามทางเท่านั้น ยิ่งได้ยินท่านผู้นำมาพูดถึงงบประมาณที่จะใช้ในการทำประชามติ ก็พอจะทำให้เห็นได้ว่า ท่วงทำนองของขบวนการสืบทอดอำนาจต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเป็นไปอย่างที่สร้างภาพให้ปรากฏต่อสื่อหรือไม่ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นภาพสะท้อนได้อย่างดี
อย่างที่บอกมาตลอดเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้อยู่ที่ว่าฝ่ายรัฐบาล ฟากส.ว.ลากตั้งจะมีท่าทีอย่างไร หากแต่เป็นเรื่องของความจริงใจ ที่จะต้องแสดงออกผ่านการกระทำ โดยที่ส.ว.ต้องประกาศเป็นสัญญาประชาคมว่าจะเดินหน้าแก้ไขกันแบบไหนอย่างไร มีเสียงเพียงพอที่จะสนับสนุนให้เกิดการแก้ไขหรือไม่ เช่นเดียวกับซีกของรัฐบาลต้องยืนยันหนักแน่น จะเดินตามแนวทางที่ได้นำเสนอและขอความร่วมมือกับส.ว.ลากตั้งอย่างเต็มที่
ขณะที่เริ่มเห็นอาการไม่ปกติของฝ่ายสืบทอดอำนาจ พรรคร่วมรัฐบาลที่อ้างว่าเป็นพรรคแรกและพรรคเดียวที่ยืนกระต่ายขาเดียวเรื่องแก้ไขมาตรา 256 อย่างประชาธิปัตย์ ก็ไม่ได้แสดงออกถึงความจริงใจว่าถ้าแก้ไขไม่สำเร็จแล้วจะทำอย่างไร ไม่เพียงเท่านั้น ยังปรากฏต่ออีกว่า เมื่อมี 16 ส.ส.ไปร่วมลงชื่อในญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ของพรรคก้าวไกล ในการประชุมส.ส.ของพรรค จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคก็ชิงตัดบทไม่ให้มีการตั้งคำถามในเรื่องดังกล่าวในที่ประชุมแต่อย่างใด
โดยอ้างเรื่องมติพรรคให้แก้ไขมาตรา 256 และการมีส.ส.ร. ทำให้ฝ่ายที่ไปร่วมลงชื่อออกอาการงงเป็นไก่ตาแตกกันเป็นแถว แต่ก็นั่นแหละพรรคนี้เขามีลักษณะเฉพาะตัว ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรบานปลาย แม้ 16 ส.ส.จะได้ชื่อว่ากบฏปชป. แต่คงไม่มีคนในพรรคออกมาตำหนิ มิหนำซ้ำ ยังแอบสนับสนุนเสียด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยหากเกิดอะไรขึ้นทางการเมืองในอนาคต ก็ยังมีทางออกว่าส.ส.ของพรรคส่วนหนึ่งได้รักษาและยึดมั่นในเจตนารมณ์ของพรรคอย่างเหนียวแน่นแล้ว
นี่แหละ เกมการเมือง สิ่งที่คิดว่าง่ายและไม่น่าจะมีปัญหา ไม่มีทางราบรื่นเรียบร้อยอย่างที่คิด เช่นเดียวกับ ขบวนการคนหนุ่มสาว แม้จะมองว่ากุมความได้เปรียบจาก 3 ข้อเรียกร้องและพลังสนับสนุน แต่จะประมาทฝ่ายกุมอำนาจไม่ได้แม้แต่น้อย ทุกอย่างมีจุดพลิกผันได้ตลอดเวลา อย่าได้การ์ดตกหรือมีแผลให้เปิดได้ก็แล้วกัน ซึ่งต้องดูต่อไปว่ากว่าจะถึง 19 กันยายนหมุดหมายในการนัดชุมนุมใหญ่นั้น จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่