ระวัง ศก.ถดถอยซ้ำซ้อน
“ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “Paiboon Nalinthrangkurn” ไว้น่าสนใจ
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
“ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “Paiboon Nalinthrangkurn” ไว้น่าสนใจ
เขาแสดงความกังวลเศรษฐกิจไทย มีโอกาส Double-Dip หรือ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอยซ้ำซ้อน” ถ้าไม่เร่งสปีด
พร้อมระบุว่า ประเทศไทยได้รับคำชื่นชมจากความสำเร็จการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด
ทว่า น่าเสียดายที่เราไม่สามารถส่งต่อความสำเร็จด้าน “สาธารณสุข” ไปยัง “ภาคเศรษฐกิจ” แม้จะพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ยังมีความเสี่ยงที่อาจ “ทรุดตัวอีกรอบ” หรือฟื้นตัวในรูปตัว “W” แทนที่จะเป็นตัว “U”
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะข้อแรก แม้รัฐบาลได้ออกมาตรการมาต่อเนื่อง
ทั้งด้านการเงินและการคลัง รวมมูลค่าถึง 2.3 ล้านล้านบาท หรือเทียบเท่า 15% ของ GDP
แต่ความล่าช้าในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ทำให้เม็ดเงินไม่กระจายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากเท่าที่ควร และรวดเร็วเพียงพอ
ยกตัวอย่าง วงเงินกู้ 400,000 ล้านบาท เป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ผ่านจนถึงวันนี้มีโครงการที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพียง 46,000 ล้านบาท
หรือโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของแบงก์ชาติ ก็มีการอนุมัติสินเชื่อไปแค่ 115,520 ล้านบาท จากวงเงินทั้งหมด 500,000 ล้านบาท และมีผู้ประกอบการ SME เพียง 69,086 รายเท่านั้นที่ได้รับสินเชื่อจากโครงการนี้
ล่าสุด งบประมาณประจำปี 2564 ก็ดูเหมือนจะล่าช้าออกไป
นั่นเพราะไม่น่าจะผ่านขั้นตอนการอนุมัติจากรัฐสภาได้ทันภายในสิ้นเดือนนี้
และนั่นจะทำให้เม็ดเงินจากงบประมาณเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจช้าลงด้วย
ถ้าทุกอย่างยังดำเนินการด้วยความล่าช้าแบบนี้ อาจได้เห็นเศรษฐกิจ “กลับมาถดถอยอีกครั้ง” ในไตรมาสแรกหรือไตรมาสสองของปีหน้า
ข้อสอง เม็ดเงินรวมของมาตรการทั้งหมดอาจดูสูง แต่ส่วนใหญ่เป็นวงเงินกู้และเงินเพื่อการเยียวยา
ส่วนที่เป็นเม็ดเงินสำหรับใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีไม่มากนัก เมื่อเทียบกับ “รายได้จากการท่องเที่ยว” ที่หายไป 2 ล้านล้านบาท รวมทั้งผลกระทบทางอ้อมจากการปิดประเทศอีกไม่ต่ำกว่าหลายแสนล้านบาท
ไพบูลย์ ระบุว่า การรักษา “วินัยการคลัง” ถือเป็นเรื่องที่ดี
แต่ในภาวะที่ไม่ปกติแบบในปัจจุบัน ภาครัฐจำเป็นต้อง “ใช้จ่ายให้มากสุด” เท่าที่จะทำได้
และต้องยอมขาดดุลงบประมาณมากกว่าในปีปกติ เพราะรัฐคือกำลังซื้อหลักของระบบเศรษฐกิจในเวลานี้
ยกตัวอย่าง ประเทศสหรัฐฯ น่าจะขาดดุลการคลังไม่ต่ำกว่า 16-17% ของ GDP ในปีนี้ (จากระดับปกติที่ 3-4%) และมีแนวโน้มจะขาดดุลอีกราว 9-10% ในปีหน้า
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลน่าจะขาดดุลการคลังราว 4% ของ GDP ในปีนี้
ส่วนในปีหน้า รัฐบาลทำงบประมาณขาดดุลไว้ที่ 623,000 ล้านบาท หรือเทียบเท่า 3-4% ของ GDP นับเป็นการขาดดุลในระดับที่ไม่แตกต่างมากนักจากการขาดดุลในปีปกติ ซึ่งน่าจะไม่เพียงพอสำหรับการแก้วิกฤติครั้งนี้
ข้อสาม การควบคุมการระบาดของโควิดได้สำเร็จกลับกลายเป็นดาบสองคม
เพราะแทนที่จะทำให้เราสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้รวดเร็วกว่าประเทศอื่น กลับทำให้เรายิ่งไม่กล้าเปิดประเทศเพราะกลัวจะไม่สามารถคุมสถานการณ์ได้ดีเท่าเดิม
ประเทศที่ไม่ได้พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวอาจไม่จำเป็นต้องรีบเปิดประเทศ
แต่ไทยมีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 12% ของ GDP
รวมทั้งมีผู้ประกอบการ SME ที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวถึง 6 หมื่นราย และมีผู้ทำงานมากถึง 4 ล้านคน
แน่นอนไม่มีใครอยากเห็นการแพร่ระบาดของโควิดรอบสองในประเทศ แต่ก็คงไม่มีใครอยากเห็นเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะถดถอยไปถึงปีหน้าเช่นเดียวกัน
การเริ่มเปิดประเทศด้วยการรับนักท่องเที่ยวประเภท Long-stay ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วยการทยอยรับนักท่องเที่ยวประเภทอื่น ๆ
เช่น จากประเทศเสี่ยงต่ำแบบจำกัด
โดยมีมาตรการควบคุมโรคอย่างเหมาะสม แล้วขยายต่อไปยังกลุ่มอื่น ๆ ก็จะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น
ข้อสี่ จำนวนผู้ว่างงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเกิน 3 ล้านคน หรือเกือบ 10% ของกำลังแรงงาน คืออีกปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจกดดันให้เศรษฐกิจทรุดตัวลงอีกรอบ
ไพบูลย์ สรุปทิ้งท้ายว่า โดยเชื่อว่าเรายังสามารถป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจทรุดตัวอีกรอบได้
ถ้ารัฐบาลเร่งผลักดันมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาแล้วให้เห็นผลโดยเร็ว
ด้วยการทบทวนวิธีปฏิบัติ หรือแก้ไขเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินการ
รวมทั้งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ขยายเพดานหนี้สาธารณะเพื่อลดข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายการคลัง และทยอยเปิดประเทศอย่างต่อเนื่อง