3 สหาย บุกเฮลท์แคร์พรีเมียม
คำกล่าวที่ว่า “สู้ลำพังอย่าหวังถึงความสำเร็จ” น่าจะสอดคล้องกับการทำธุรกิจในยุคนี้ ในภาวะที่ไม่ปกติ เกิดมหาวิกฤติจากโรคระบาดที่ทำลายล้างเศรษฐกิจให้พังพินาศ...การจับมือกันสู้ มีพันธมิตรมาสุมหัวกันคิดและทำ น่าจะเป็นหนทางรอด และมีโอกาสรุ่งมากกว่า...
สำนักข่าวรัชดา
คำกล่าวที่ว่า “สู้ลำพังอย่าหวังถึงความสำเร็จ” น่าจะสอดคล้องกับการทำธุรกิจในยุคนี้ ในภาวะที่ไม่ปกติ เกิดมหาวิกฤติจากโรคระบาดที่ทำลายล้างเศรษฐกิจให้พังพินาศ…การจับมือกันสู้ มีพันธมิตรมาสุมหัวกันคิดและทำ น่าจะเป็นหนทางรอด และมีโอกาสรุ่งมากกว่า…
โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่เจอโจทย์ท้าท้ายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นตลาดที่เริ่มอิ่มตัว การแข่งขันที่ดุเดือดเลือดพล่าน หลายบริษัทที่เห็นยอดขายสูง (เว่อร์) ก็ต้องแลกมาด้วยการเฉือนเนื้อตัวเอง งัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม แบบไม่อั้น เพื่อหวังตุนเงินสดไว้ให้มากที่สุด เก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น
ครั้นจะหันไปพึ่งพาตลาดเก็งกำไรก็ไม่ง่ายเหมือนในอดีต เพราะถูกเกณฑ์ LTV ของแบงก์ชาติล็อกตาย…ประกอบกับสถานการณ์แบบนี้ทำให้อยู่ยาก ทำให้ตลาดอสังหาฯ แนวราบแม้ยังไปได้อยู่ แต่ต้องเพิ่มความหลากหลาย
ในช่วงที่ผ่านมาจึงเห็นค่ายอสังหาฯ หลายรายปรับกลยุทธ์จับโมเดลเติมความหลากหลาย หนึ่งในนั้นเห็นชัดกรณีบริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK ที่มีการแก้ไขบริคณสนธิ เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจในด้านสถานพยาบาลและสุขภาพ…
ประเดิมด้วยการนำแบ็กล็อกที่ดิน 200 ไร่ ย่านคุ้งบางกระเจ้า จ.สมุทรปราการ มาพัฒนาเป็นศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวมในชื่อ “รักษ” (รัก-ษะ) ภายใต้คอนเซปต์ “Fully Integrative Wellness & Medical Retreat” มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท
โดยจะพัฒนาเฟสแรกก่อน 60 ไร่ มีวิลล่า 60 หลัง เริ่มเปิดให้บริการในช่วงแรกก่อน 27 หลัง ช่วงเดือน ธ.ค. 2563 นี้ และจะทยอยเปิดตามมาต้นปีหน้า
ชัดเจนว่าเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประกอบกับโควิดทำให้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ก็เข้าสู่เทรนด์สุขภาพอย่างชัดเจน ซึ่ง MK คงมองเห็นถึงจุดนี้…
แต่เรื่องของสุขภาพ…หากจะจับตลาดกลาง-ล่าง ดูจะไม่คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ลงทุน ก็ต้องมาจับตลาดบนที่เป็นพรีเมียม จึงเป็นที่มาของการดึงบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH เข้ามา…
แน่นอนว่าลูกค้าของ “รักษ” ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าคนไทยกระเป๋าหนัก และอีกเป้าหมายเป็นลูกค้าต่างชาติ ซึ่ง BH เป็นโรงพยาบาลระดับไฮเอนด์ที่เน้นกลุ่มต่างชาติเป็นหลักอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องการบริหารจัดการวิลล่าพักอาศัย…เนื่องจาก MK ไม่มีความชำนิชำนาญ ก็เลยดึงบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ซึ่งมีเครือข่ายโรงแรมอยู่ทั่วโลกมาเป็นผู้บริหารจัดการวิลล่าพักอาศัย มีสัญญาบริหาร 10 ปี
MK ตั้งเป้าภายใน 1 ปี จะมีอัตราการเข้าพัก 30% และปี 2565 จะเพิ่มเป็น 50% และคาดว่าภายใน 5-7 ปี จะคืนทุน พร้อมกับวางแผนในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเริ่มพัฒนาเฟส 2 เพื่อขยายการรองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการที่มากขึ้นในอนาคต
โมเดลนี้น่าจะคล้าย ๆ กับบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ที่ใช้คาปาซิตี้สายการบินมาเสริมแกร่งธุรกิจโรงพยาบาล…แต่เคสของ MK เป็นการผนึกกำลังกันของ 3 สหาย เพื่อต่อสู้ในเกมเฮลท์แคร์พรีเมียม…โดย MK ในฐานะเจ้าของโครงการมีรายได้จากการให้บริการวิลล่าพักอาศัย รวมทั้งได้รับส่วนแบ่งรายได้ 15% จากค่าบริการทางการแพทย์ เป็นการสร้าง Recurring Income หรือรายได้ประจำให้กับบริษัท
ส่วน BH จะมีรายได้จากการให้บริการทางการแพทย์ในโครงการ “รักษ”…ฟาก MINT รับรู้รายได้จากสัญญาว่าจ้าง 10 ปี จากการเป็นผู้บริหารจัดการวิลล่าพักอาศัย
ก็เป็นอีกดีลที่สมประโยชน์กันทุกฝ่าย…
ซึ่งถ้าโครงการนี้เวิร์ก…ไม่แน่อาจได้เห็น 3 สหาย ควงแขนกันไปเปิดโครงการใหม่ ๆ อีกก็ได้
เพราะนาทีนี้ ไม่ใช่แค่ “ต้องสู้ ต้องสู้ จึงจะชนะ” เท่านั้น แต่ “ต้องสู้ไปด้วยกัน จึงจะชนะ” ต่างหากล่ะ…
…อิ อิ อิ…