ช้อป 4 หุ้นปัจจัยบวกหนุน
นับจากต้นเดือนกันยายนจนถึงปัจจุบัน พบว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะขึ้นๆ ลงๆ ตามน้ำหนักข่าวบวก - ลบในแต่ละวัน... แต่ถึงอย่างไรตัวดัชนี SET Index ยังคงแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบ
เส้นทางนักลงทุน
นับจากต้นเดือนกันยายนจนถึงปัจจุบัน พบว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะขึ้นๆ ลงๆ ตามน้ำหนักข่าวบวก-ลบในแต่ละวัน… แต่ถึงอย่างไรตัวดัชนี SET Index ยังคงแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบ และยังคงเคลื่อนไหวกรอบแนวต้าน 1,300 จุด ขณะที่กรอบแนวรับ 1,270 – 1,260 จุด และมองให้ลึกบริเวณ 1,250 จุด การแกว่งตัวในกรอบแคบของดัชนี SET Index ในภาพรวม แม้ระหว่างในแต่ละวันจะขึ้น-ลง แต่ที่น่าสังเกตคือ วอลุ่มการซื้อขายค่อนข้างเบาบาง
ประเด็นหลักอาจเป็นเพราะนักลงทุนน่าจะยังรอดูการชุมนุมใหญ่วันที่ 19 ก.ย. 2563 เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่….ตามสถิติแล้วหากเกิดการชุมนุมแล้วมีความรุนแรงเกิดขึ้น ทำให้เกิดแรงเทขายเพื่อลดความเสี่ยงในตลาดหุ้นก่อนทันที
อย่างเหตุการณ์ปิดล้อมท่าอากาศยานในประเทศไทยเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2551 ดัชนีอยู่ที่ 386.12 จุด แล้วก่อนวันเกิดเหตุ 1 วัน ดัชนีอยู่ที่ 397.51 จุด ลดลง 11.39 จุด หรือ (-2.87%) ส่วนหลังเกิดเหตุ 1 วัน ดัชนีอยู่ที่ 391.85 จุด เพิ่มขึ้น 5.73 จุด หรือ (+1.48%) ต่อมามีเหตุการณ์การชุมนุมนปช.เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2553 ดัชนีอยู่ที่ 783.93 จุด แล้วก่อนวันเกิดเหตุ 1 วัน ดัชนีอยู่ที่ 812.63 จุด ลดลง 28.70 จุด หรือ (-3.53%) ส่วนหลังเกิดเหตุ 1 วัน ดัชนีปิดที่ 789.66 จุด เพิ่มขึ้น 5.73 จุด หรือ (+0.73%)
ทั้งนี้ คราวนี้ก็เช่นกัน ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างช่วงก่อนหน้าหรือไม่ แต่ทว่าหากไม่ร้ายแรง คาดไม่มีเหตุการณ์ที่จะเป็นลบต่อตลาดหุ้นหลังวันเกิดเหตุการณ์ กลยุทธ์การลงทุนคือรอความชัดเจน เชื่อว่าการถือเงินสดเพื่อรอช้อนซื้อหุ้นยังเป็นกลยุทธ์ที่ดี อย่างไรก็ตามสามารถเข้าเก็งกำไรช่วงสั้นในหุ้นที่มีข่าว หรือหุ้นที่มีพื้นฐานแกร่งเหนือกว่าตลาด อย่างหุ้น SYNEX, DCC, PRM และ WICE
บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX หนุนโดยความเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีก จาก 1) อุปสงค์ของ PC และ Laptop ที่ยังสูงจากผลของ COVID-19 2) การเปิดตัวชิ้นส่วน PC (โดยเฉพาะ GPU) 3) การอัพเกรดระบบหลังจากที่ติดปัญหา COVID-19 และ 4) การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ 5G ล่าช้าจากช่วงครึ่งแรกของปี 2563 นอกจากนี้ SYNEX จะมีการประกาศพันธมิตรใหม่ในอนาคต และจะเป็นผู้ให้บริการลูกค้า ผลดังกล่าวมีมุมมองเชิงบวกต่อการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2563
ส่วนการเปิดตัวเทคโนโลยี 5G จะเป็นกุญแจในการพัฒนาและใช้งานของระบบ AR/VR และอุปกรณ์ IoT ต่าง ๆ ซึ่งเชื่อว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะทำให้อัตรากำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นเกิน 10% ได้ ในขณะที่แผน SYNEX as a Service จะช่วยหนุนอัตรากำไรในระยะยาว แต่ในระยะสั้นจะเน้นการเพิ่มอัตรากำไรจากการเจรจากับ Apple หลังจากที่เป็นพันธมิตรกันได้ 2 ปี
ขณะเดียวกัน ทางบล.ทิสโก้ แนะนำให้ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 15.70 บาท
บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) หรือ DCC ผลประกอบการจะเติบโตดีต่อในครึ่งหลังปี 2563 จากยอดขายและอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่ชิงส่วนแบ่งการตลาดกระเบื้องแผ่นใหญ่จากการนำเข้าได้ พร้อมกับประเมินปี 2564 กำไรสุทธิยังขยายตัวได้ต่อ ซึ่งมาจาก 1) ยอดขายที่เพิ่มขึ้นราว 5% โดยหลักมาจากการขยายส่วนแบ่งการตลาด (ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศอันดับ 1 ที่ 42%) และการขายกระเบื้องขนาดใหญ่ทดแทนการนำเข้า 2) อัตรากำไรขั้นต้นที่ทรงตัวสูง 41% เพราะสัดส่วนยอดขายกระเบื้องขนาดใหญ่ที่มีมาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น 3) มี Economy of scale มากขึ้น และ 4) รายได้ค่าเช่าสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน ทางบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 3 บาท
บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ยังคงมั่นใจต่อการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง จากการฟื้นตัวของธุรกิจขนส่งในประเทศ และธุรกิจ FSU ที่ยังมีความต้องการต่อเนื่องจากลูกค้า โดยมีประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้
1) ธุรกิจขนส่งน้ำมันในประเทศเริ่มฟื้นตัว (สัดส่วน 35% ของรายได้รวม) จากการเดินทางในประเทศที่มากขึ้น ทำให้มีความต้องการใช้น้ำมันดีเซล เบนซิน แต่สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยังคงไม่ฟื้นตัว (คิดเป็นสัดส่วน 20% ของปริมาณการขนส่งทั้งหมด) บริษัทพยายามรักษาอัตราการใช้เรือที่ 90% โดยใช้เรือของบริษัทเอง 31 ลำ ซึ่งมีอัตรากำไรที่สูงกว่าการจ้างเรือข้างนอก ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นยังคงอยู่ในระดับมากกว่า 20%
2) ธุรกิจ FSU ยังคงแข็งแกร่งและมีความอ่อนไหวต่อความผันผวนของราคาน้ำมันน้อยลง จากเรือทั้งหมด 8 ลำ เป็นการจัดเก็บน้ำมันดิบ 2 ลำ และอีก 6 ลำเป็นการจัดเก็บน้ำมันเตาเพื่อรองรับการใช้น้ำมัน Low sulfur ตาม IMO2020 ซึ่งบริษัทมองว่าน่าจะยังมีความต้องการนี้ต่อเนื่องไปยังปีหน้า
3) เน้นการรักษาประสิทธิภาพการดำเนินงานและอัตรากำไร : อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะยังคงอยู่ระดับสูงจาก 25.7% ในไตรมาส 2/2563 จากการบริหารจัดการต้นทุนน้ำมันโดยการซื้อน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำเก็บไว้ใช้งาน และอัตราการใช้เรือแต่ละประเภทที่มากกว่า 90%
4) ขายเรือ Offshore 2 ลำ (ตั้งค่าเผื่อด้อยค่าไปแล้วในไตรมาส 2/2563 จำนวน 78 ล้านบาท) เนื่องจากลูกค้ามีการยกเลิกการใช้งาน อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งค่าเผื่อด้อยค่าในไตรมาส 2/2563 เป็นช่วงที่ราคาเศษเหล็กอยู่ในระดับต่ำ แต่ปัจจุบันราคาเศษเหล็กปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นถ้าบริษัทมีการขายเรือจริง จะทำให้มีกำไรเข้ามาบางส่วน
5) แผนการเพิ่มกองเรือปี 2563 เน้นการขยายเรือขนส่งในประเทศ โดยบริษัทมีแผนเพิ่มเรือขนส่งในประเทศ 1 ลำซึ่งคาดจะรับเรือเสร็จในเดือน ก.ย.นี้ และเรือ FSU อีก 2 ลำ ซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการจัดหาเรือ ซึ่งทั้ง 2 ลำมีลูกค้าจองใช้งานแล้วและอยู่ระหว่างการเจรจาและเลือกจุดในการส่งมอบเรือ สำหรับปี 2564 บริษัทมีแผนการที่เพิ่มกองเรือธุรกิจอื่นมากขึ้น อาทิ เรือขนส่งระหว่างประเทศ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ทางบล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท
บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE มีความแข็งแกร่งเห็นได้ชัดจากกำไรไตรมาส 2 ที่ดีกว่าคาดมาก และแนวโน้มจะเร่งขึ้นต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง จากการขนส่งสินค้าหลัก คือ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยังดีต่อเนื่อง และชิ้นส่วนยานยนต์ฟื้นชัดเจน ตามสัญญาณของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ แนวโน้มการฟื้นตัวที่เร็วกว่าคาดของกิจกรรมทางเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมสหรัฐอเมริกาน่าจะส่งผลบวกต่อกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องของไทยทั้งในภาคธุรกิจจริง (Real Sector) และส่งออก โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังจะโดดเด่น คือ กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มขนส่ง
ขณะเดียวกัน ทาง บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.60 บาท
ด้วยตัวอย่างหุ้นที่นำเสนอข้างต้นถือว่าหุ้นมีความแข็งแกร่งจากข่าวสนับสนุน พร้อมกับราคาหุ้นบนกระดานปรับตัวขึ้นต่อเนื่องแกร่งกว่าตลาดฯ
ดังนั้น หุ้นดังกล่าวยังเป็นทางเลือกต่อการลงทุนกับภาวะตลาดหุ้นไม่แน่นอน !!!