พาราสาวะถี

บอกตั้งแต่วันแรก หลังม็อบยุติสิ่งที่จะตามมาคือคดีความอีกพะเรอเกวียน ที่เห็นดำเนินการทันทีคือกรณีปักหมุดคณะราษฎรหมุดที่ 2 กลางสนามหลวง ทั้งกรมศิลปากร ตำรวจและกทม. ร่วมกันสหบาทาแจ้งความดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 2504 มาตรา 32 ข้อหาบุกรุกโบราณสถาน หรือทําให้เสียหาย ทําลายทําให้เสื่อมค่าหรือทําให้ไร้ประโยชน์ซึ่งโบราณสถาน


อรชุน

บอกตั้งแต่วันแรก หลังม็อบยุติสิ่งที่จะตามมาคือคดีความอีกพะเรอเกวียน ที่เห็นดำเนินการทันทีคือกรณีปักหมุดคณะราษฎรหมุดที่ 2 กลางสนามหลวง ทั้งกรมศิลปากร ตำรวจและกทม. ร่วมกันสหบาทาแจ้งความดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 2504 มาตรา 32 ข้อหาบุกรุกโบราณสถาน หรือทําให้เสียหาย ทําลายทําให้เสื่อมค่าหรือทําให้ไร้ประโยชน์ซึ่งโบราณสถาน

ยังไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่ข้อหาที่จะตามมาโดยเฉพาะบรรดาแกนนำ อย่างไรก็ตาม “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ ลั่นไม่หวั่นไหวต่อการถูกดำเนินคดีใด ๆ อยู่แล้ว เรื่องของหมุดคณะราษฎร 2563 ก็เช่นกัน ถอนไปแล้วก็ปักใหม่ได้ โดยส่วนตัวจะเดินสายไปปักหมุดทั่วกรุงเทพฯ และพร้อมจะแจกให้กับผู้ที่สนใจทั่วประเทศไปหล่อแล้วหาที่ปักกันเอาตามใจชอบ แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งสำคัญเพราะวันนี้ต้องยอมรับกันว่าหมุดหมายเรื่องประชาธิปไตยนั้นมันได้ถูกปักลงกลางใจกับคนจำนวนไม่น้อยทั้งที่มาร่วมชุมนุมและไม่ได้มา

ไม่ได้เหนือความคาดหมายกับการยุติการชุมนุมแบบนี้ แล้วจะถูกฝ่ายตรงข้ามนำไปเป็นประเด็นโจมตีเพื่อดิสเครดิต ดังนั้น ใครก็ตามที่ปรากฏตัวออกมาวิพากษ์วิจารณ์ม็อบในทำนองว่าถูกโดดเดี่ยว ไร้พลัง โดยเฉพาะข้อกล่าวหาว่าเล่นประเด็นล่อแหลม ก็เห็นภาพกันชัดว่าเป็นพวกไหน ถือหางใคร แต่ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องของรัฐบาลและผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เพราะเรื่องม็อบไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งที่จะทำให้อยู่ได้หรือไม่ได้คือผลงานมากกว่า

มาจนถึงเวลานี้ระยะเวลากว่า 6 ปีต้องยอมรับว่า คนเริ่มหมดหวังกันหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่เฉพาะงานที่ทำไปแล้วไม่เห็นผลอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ในทางการเมืองโดยนิสัยของคนไทยแล้วก็จะเริ่มเบื่อผู้บริหารประเทศที่อยู่มาเป็นเวลานาน ผนวกเข้ากับการแก้ไขปัญหาที่เห็นได้ชัดว่าไร้ฝีมือ มันก็จะกลายเป็นแรงเสริมเพิ่มความกดดันทำให้ผู้บริหารประเทศต้องกุมขมับกันหนักข้อเข้าไปอีก ม็อบที่เห็นถูกชี้ว่าเป็นประเด็นทางการเมือง แต่หากเป็นม็อบของกลุ่มความเดือดร้อนตรงนี้จะตอบอย่างไร

สถานการณ์โควิด-19 ยกมาเป็นข้ออ้างได้แค่ชั่วคราว เพราะไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่ประสบปัญหา แต่ว่าทั่วโลกก็เป็น และหลายประเทศก็ไม่ได้ถึงขั้นที่ประชาชนต้องมีปัญหาปากท้องรุนแรง ขณะที่ประเทศไทยคลอดสารพัดโครงการทุ่มงบประมาณมหาศาล ทั้งช่วยเหลือและฟื้นฟู แต่ดูมาจนถึงขณะนี้ ยังไม่เห็นอะไรเป็นรูปธรรม จะอ้างเรื่องความรอบคอบ รัดกุม มันก็คงไม่ถึงขั้นที่ว่าจะไม่ปรากฏผลงานใด ๆ ออกมาให้เห็นเลยกระมัง

ประเด็นสำคัญสำหรับการนำพาประเทศเดินไปข้างหน้าที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและรัฐบาลชุดนี้ ทำหล่นหลายไปคือ ความเชื่อมั่น” ถามว่าวันนี้สถานะของประเทศไทยเป็นอย่างไรในสายตาของนักลงทุน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการท่องเที่ยว เพราะจนถึงเวลานี้ยังมองไม่เห็นหนทางว่ามันจะกลับมาอย่างไร ในภาวะที่โควิด-19 กำลังระบาดตัวเลขทั่วโลกทะลุเกิน 31 ล้านคนไปแล้ว เอาแค่ความน่าสนใจที่จะมาลงทุนกับสิ่งที่เห็นและเป็นไปในประเทศไทย ใครก็ไม่กล้าเข้ามาแล้ว

ไม่ต้องบอกว่าม็อบทำให้เสียบรรยากาศ ย้ำอีกครั้ง การที่คนมารวมตัวกันร่วมแสน หากเกิน 14 วันไปแล้ว ไม่มีใครติดโควิด-19 แม้แต่รายเดียว นี่จะถือเป็นจุดขายสำคัญเสียด้วยซ้ำสำหรับประเทศไทย ที่พบว่าไม่มีการระบาดภายในประเทศ ย่อมจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติได้มากขึ้นไปอีก แต่ปัจจัยสำคัญคือ สิ่งที่จะทำและสร้างแรงจูงใจให้กับนักลงทุนนั้น มันมากพอที่จะให้เขาเข้ามาหรือไม่ เช่นเดียวกับการก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่

โดยเฉพาะการเปิดตลาดใหม่ที่เป็นอีกปัจจัยส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติหันไปลงทุนในประเทศอื่น เนื่องจากสะดวกในการขนส่งกับตลาดใหม่ รวมไปถึงการสร้างแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมหรือการลงทุนที่ตอบโจทย์ของการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ไม่เชื่อว่าบรรดาที่ปรึกษาซึ่งรายล้อมท่านผู้นำจะตามไม่ทันสิ่งเหล่านี้ อยู่ที่ว่ากล้าที่จะเสนอและคิดที่จะทำกันหรือไม่ เหมือนอย่างไทยแลนด์ 4.0 ที่เคยโหมประโคมกันก่อนหน้า วันนี้หายเข้ากลีบเมฆ นี่ก็คือภาพสะท้อนของการก้าวไม่ทันโลกประการหนึ่ง

จังหวะที่ม็อบใหญ่ยุติ ยังมีเรื่องที่รอวัดใจกันอยู่อันหมายถึงการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นของพรรคร่วมฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันคือแก้มาตรา 256 ตั้งส.ส.ร. 2 ฉบับและอีก 4 ญัตติของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งมีประเด็นปัญหาอยู่ 2 ประการคือ ส.ว.ลากตั้งขู่คว่ำทิ้งทั้ง 4 ร่าง ขณะที่ ไพบูลย์ นิติตะวัน ก็ขู่ฮึ่ม ๆ แสดงความกังขา ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาทำไมไม่บรรจุญัตติที่ตัวเองยื่นถามว่าควรส่ง 4 ญัตตินี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่

รอฟังคำตอบจากประธานรัฐสภากันในวันที่จะเริ่มประชุมกันวันแรก เพราะในแง่มุมของจอมหลักการและทีมงานกฎหมาย มองตรงกันว่ากรณีที่มีส.ส.เข้าชื่อในญัตติที่เนื้อหาแตกต่างกันนั้น ไม่น่าจะเข้าข่ายเป็นการลงชื่อซ้ำซ้อน แต่ไพบูลย์กลับมองว่าเป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเหมือนกัน จึงไม่น่าจะลงชื่อซ้ำกันได้ ความจริงหากใช้ตรรกะที่เป็นแบบคนทั่วไปคิดคำตอบมันก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่เมื่อซามูไรกฎหมายเขาตีความแบบนี้ โดยที่องค์กรตีความคนก็เชื่อว่าจะไปในทางเดียวกัน ประเด็นนี้จึงน่าลุ้น

ทั้งนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจะพิจารณากันนั้น จะถือเป็นบทพิสูจน์ความจริงใจของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจว่า ต้องการจะให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปสู่ทิศทางที่ดีหรือไม่ หรือคำพูดพร้อมรับฟังและแก้ไขเป็นแค่วาทกรรมลวงโลก เสียงของส.ว.จะเป็นตัวชี้วัด ส่วนที่บอกว่าการชุมนุมของขบวนการคนหนุ่มสาวไม่มีทางกดดันให้ส.ว.เปลี่ยนท่าทีได้นั้น ก็ต้องเชื่อตามนั้น เพราะคนที่จะสั่งได้คือผู้ที่แต่งตั้งตัวเองเท่านั้น

Back to top button