พาราสาวะถี
กลัวจนกลายเป็นภาพหลอน หรือสั่งสอนกันมาให้เกลียดประชาชนที่เห็นต่างยืนคนละข้างกับเผด็จการสืบทอดอำนาจ มันจึงปรากฏเหตุการณ์ทหาร 3 นายล็อกคอประชาชนที่ไปถ่ายภาพกับป้ายกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ โดยอ้างว่านายสั่งมา สุดท้ายก็จบที่การขอโทษ ความจริงไม่ใช่ประเด็นใหญ่โต แต่สิ่งที่แสดงออกมันทำให้เห็นว่า ใครก็อย่ามาแตะต้องพวกข้า ที่หนักหนาไปกว่านั้นมันจะถูกนำไปขยายผลให้เห็นว่า คนที่มีกำลัง อำนาจกำลังมองประชาชนเป็นศัตรู
อรชุน
กลัวจนกลายเป็นภาพหลอน หรือสั่งสอนกันมาให้เกลียดประชาชนที่เห็นต่างยืนคนละข้างกับเผด็จการสืบทอดอำนาจ มันจึงปรากฏเหตุการณ์ทหาร 3 นายล็อกคอประชาชนที่ไปถ่ายภาพกับป้ายกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ โดยอ้างว่านายสั่งมา สุดท้ายก็จบที่การขอโทษ ความจริงไม่ใช่ประเด็นใหญ่โต แต่สิ่งที่แสดงออกมันทำให้เห็นว่า ใครก็อย่ามาแตะต้องพวกข้า ที่หนักหนาไปกว่านั้นมันจะถูกนำไปขยายผลให้เห็นว่า คนที่มีกำลัง อำนาจกำลังมองประชาชนเป็นศัตรู
อย่าให้เสียงค่อนขอดที่มีมาโดยตลอดตั้งแต่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองว่า ทหารไทยในยุคปัจจุบันไม่ได้ไปสู้รบปรบมือกับข้าศึกที่เป็นภัยคุกคามประเทศ แต่หันมาเข่นฆ่าประชาชนผู้มาชุมนุมด้วยมือเปล่า เก่งกับคนที่เห็นต่างกับฝ่ายถือครองอำนาจ โดยเฉพาะเผด็จการสืบทอดอำนาจ ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมันจึงเป็นเหมือนการตอกย้ำความรู้สึกของประชาชนที่แม้จะมีความเห็นต่างกันทางการเมือง แต่หาได้เป็นศัตรูที่จะต้องถึงขั้นห้ำหั่น ฆ่าฟันกันเอาเป็นเอาตาย
บทเรียนจากการตาย 99 ศพ บาดเจ็บอีกกว่า 2 พันคน เพราะการใช้กระสุนจริงสลายการชุมนุมเมื่อปี 53 รวมทั้งการตาย 6 ศพในวัดปทุมวนาราม ยังไม่เพียงพอที่จะเป็นเครื่องเตือนสติของความเมามันในการเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่าอีกหรือ แม้จะกดข่มกระบวนการที่จะนำไปสู่การเอาผิดตามกฎหมายได้ แต่กฎแห่งกรรมไม่เคยเว้นผู้กระทำความชั่ว วันนี้ลองไปถามผู้ปฏิบัติการทั้งหลาย อยู่เย็นเป็นสุขกันดีหรือไม่ บางรายตัวเองไม่โดนแต่ไปเกิดกับคนในครอบครัว นี่แหละที่เขาเรียกเวรกรรม
ส่วนตัวผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ต้องพูดถึง การไม่ทำตามสัญญาที่แม้แต่เพลงซึ่งตัวเองแต่งขึ้นมายังต้องเข้าสู่โหมดเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า แล้วจะไปเอาความเชื่อถือ ศรัทธามาจากไหน จะมีก็แต่พวกหลับหูหลับตาเชียร์กันไป ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่ไม่ได้เดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจและปัญหาปากท้อง ส่วนคนหาเช้ากินค่ำ ผู้ที่ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดนับวันมีแต่จะสาละวันเตี้ยลง เงินแจกที่หว่านกันสารพัดโครงการ มันไม่ได้ทั่วถึง ที่ได้รับเงินกลับไปเต็ม ๆ ก็คือพวกเจ้าสัว นายทุนหน้าเดิม ๆ ที่ถือหางเผด็จการทั้งสิ้น
คงได้รู้กันไปแล้วเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาว่าญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ญัตติที่เสนอโดยฝ่ายค้าน 5 ฉบับและพรรคร่วมรัฐบาล 1 ฉบับนั้น ผลลงเอยเป็นอย่างไร ตัวแปรสำคัญก็คือส.ว.ลากตั้ง ซึ่งหากได้ฟังการอภิปรายกันต่อเนื่องทั้งสองวัน ก็จะเห็นได้ชัดว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการแก้ไข ขณะที่ส.ว.บางรายซึ่งหวงก้างถึงขั้นเสนอให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจทำการปิดสวิตช์ส.ส.ด้วยการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แทนการปิดสวิตช์ส.ว.
แน่นอนว่าท่วงทำนองของเครือข่ายเผด็จการสืบทอดอำนาจ ไม่มีทางที่จะปล่อยให้มีการแก้ไขได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะกับสิ่งที่เกี่ยวพันกับอำนาจของตัวเองโดยตรง ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น บอกไว้แล้วว่า ให้ดูท่าทีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจว่าจริงใจที่จะแก้ไขหรือไม่ หรือแค่ซื้อเวลาไปเรื่อย ๆ ยิ่งได้เห็นม็อบเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมาเหมือนจะเพลี่ยงพล้ำ จึงต้องรอวัดกันอีกรอบว่า ถ้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ยอมตามที่เรียกร้อง ขบวนการคนหนุ่มสาวจะมีฤทธิ์มีเดชอะไรอีกไหม
อย่าลืมว่า ที่มีการนัดหมายให้แนวร่วมขบวนการคนหนุ่มสาวหยุดงานเพื่อแสดงพลังในวันที่ 14 ตุลาคมนั้น ท้ายที่สุดก็จะหนีไม่พ้นการนัดรวมพลแสดงพลังกันอีกรอบ หากมีคนมาร่วมกันมากกว่าเมื่อ 19 กันยายนที่ผ่านมา นั่นหมายความว่า เจตนาที่จะดึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและองคาพยพทั้งหลาย ก็ต้องเปลี่ยนแผนกันไป แต่หากมวลชนหายไปมาก นั่นก็จะนำไปสู่การเบี้ยวเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ไม่ต้องไปถามว่าแล้วพรรคที่แสดงออกว่าเป็นตัวตั้งตัวตีจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จอย่างประชาธิปัตย์ จะแสดงท่าทีอย่างไร เพราะไม่เคยมีที่พรรคการเมืองแห่งนี้จะหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้ แต่พฤติกรรมที่เคยถูกกล่าวหามาเหมือนในอดีตประเภทตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จจะใช้ไม่ได้อีกต่อไปในยุคสมัยนี้ เพียงแต่ว่าก็จะหาเหตุอย่างอื่นมาอ้าง เช่น พรรคยังคงมีความพยายามที่จะเสนอขอให้เกิดการแก้ไขต่อไป ซึ่งอาจต้องใช้เวลา
ประเภทที่ว่าจะถอนตัวออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลนั้นอย่าได้หวัง ไม่เคยมีคำว่าสปิริตใด ๆ จากนักการเมืองที่ยังคงมุ่งหวังต่อลาภ ยศ สรรเสริญ คนที่ได้ก้าวขึ้นไปสู่เก้าอี้แห่งอำนาจแล้วไม่มีทางที่จะยอมลงง่าย ๆ ด้วยตัวเอง ถ้าไม่ถูกปลด ถูกไล่ ไม่มีใครหน้าไหนจะยอมทิ้งเป็นอันขาด จึงต้องรอดูว่าสุดท้ายปลายทางบทสรุปของการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะดำเนินต่อไปอย่างไร บอกไว้แล้วไม่มีทางที่เรื่องนี้จะเดินไปอย่างราบรื่น เรียบร้อย
ท่ามกลางกระแสของการต่อสู้เพื่อจะทำให้ขบวนการสืบทอดอำนาจอ่อนกำลัง แต่ดูเหมือนว่าหัวหอกสำคัญของภาคประชาชนในระบบรัฐสภาอย่างพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้เข้มแข็งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอย่างแท้จริง ผิดกับพรรคน้องใหม่อย่างก้าวไกล มิหนำซ้ำ ยังเกิดข่าวความขัดแย้งมาเป็นระลอก ล่าสุด กับกระแสส.ส.อีสานบอยคอตการประชุมพรรคเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เนื่องจากไม่พอใจท่าทีและการบริหารงานของคณะกรรมการบริหารพรรค
คล้อยหลังข่าวดังกล่าว แม้จะมีการปฏิเสธไปในทำนองเดียวกันว่าเป็นข่าวปล่อยทำลายพรรค แต่ภาพของการจัดงานทำบุญที่บ้าน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรค กับการนัดพบปะสังสรรค์ส.ส.ของ ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคามของพรรค ที่ตึกสามัคคีเซฟเฮาส์ของ “เสี่ยโจ้” มันก็ชวนให้คิดกันได้ คนของพรรคนายใหญ่กำลังเล่นอะไรกันอยู่ มองแบบคนไม่รู้แล้วตัดสองภาพมาประกบกัน ย่อมทำให้เชื่อได้ว่ามีความขัดแย้งเกิดขึ้นจริง
แต่นี่คือการเมือง ยิ่งเป็นนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาทุกสถานการณ์ ย่อมรู้ดีว่าทิศทางของบ้านเมืองในเวลานี้เป็นอย่างไร บางอย่างสู้เต็มตัวก็เจ็บตัวเปล่า ดังนั้น การรักษาเนื้อรักษาตัวพร้อมกับหาช่องทางเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เพื่อเป็นเสบียงทางการเมืองในอนาคตจึงเป็นทางเลือกที่จะเดินมากกว่าการไปทุ่มทุนหวังกล่องแต่ไม่ได้อะไร โดยที่รู้อยู่แล้วว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร