อีก 10 ปีค่อยเชื่อมั่นทายท้าวิชามาร
หนังสือพิมพ์เช้าวันอังคารหลายฉบับลงภาพสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ บวงสรวงศาลพระภูมิทำเนียบ ปลุกขวัญเศรษฐกิจไทยหลัง “แบล็กมันเดย์” ถามว่าช่วยอะไรไหม ก็คงเหมือนรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงไปทำพิธีอาทิตย์ทรงกลดหลังระเบิดราชประสงค์ ปลุกความเชื่อมั่น แต่ยังจับคนร้ายไม่ได้ ไม่รู้ว่าสาเหตุคืออะไร
หนังสือพิมพ์เช้าวันอังคารหลายฉบับลงภาพสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ บวงสรวงศาลพระภูมิทำเนียบ ปลุกขวัญเศรษฐกิจไทยหลัง “แบล็กมันเดย์” ถามว่าช่วยอะไรไหม ก็คงเหมือนรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงไปทำพิธีอาทิตย์ทรงกลดหลังระเบิดราชประสงค์ ปลุกความเชื่อมั่น แต่ยังจับคนร้ายไม่ได้ ไม่รู้ว่าสาเหตุคืออะไร
ใครวางระเบิด เถียงกันให้ตายพรรคเพื่อไทยก็ไม่เชื่อว่าการเมืองเรื่องทักษิณ รัฐบาลกับกองเชียร์ก็ไม่เชื่อว่าเพราะส่งอุยกูร์ให้จีน แหงน่อ เป็นใครก็ไม่ยอมรับเรื่องที่จะทำให้ฝ่ายตัวเสียหาย
เศรษฐกิจไทยย่ำแย่เพราะอะไร เถียงกันให้ตาย รัฐบาลและกองเชียร์ก็บอกว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจโลก เป็นเพราะนักการเมืองทำฉิบหาย ขณะที่อีกฝ่ายบอกเป็นเพราะรัฐประหาร เพียงแต่เรื่องนี้ถูกทั้งคู่ คือมีทั้งปัจจัยภายนอกภายใน ถ้าพูดให้ถูก ปัจจัยภายในคือความไม่เชื่อมั่นทางการเมือง ตั้งแต่รัฐประหาร 2549 ถึง 2557 ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2550 ถึง 2558 จากวันนี้มองไปข้างหน้า 5 ปี 10 ปี ก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าประเทศจะพ้นวิกฤติ
รัฐประหาร 2549 คนไทยยังมองว่าธรรมดา เพราะคุ้นเคยกับรัฐประหาร แต่หลังจากนั้นสิ สยามเมืองยิ้มกลายเป็นยิ้มแสยะ เมื่อเกิดม็อบยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ยึดราชประสงค์ ปิดเมืองขัดขวางเลือกตั้ง ป่วยการพูดเรื่องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ พัฒนาศักยภาพการแข่งขัน เราหยุดทุกอย่างมาตั้งแต่ไล่รัฐบาลทักษิณ การเมืองไม่มีช่วงสงบ มีแต่ต่อสู้ฟาดฟัน ถามว่ามีใครเชื่อมั่นอยากลงทุนระยะยาว แต่ละรัฐบาลต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการอัดฉีด ตั้งแต่แจกฟรีสองพันมาถึงจำนำข้าว
รัฐประหาร 2557 เข้ามาหยุดความขัดแย้ง แต่ไม่ได้แก้ไขความขัดแย้ง หนำซ้ำจะกลายเป็นคู่ขัดแย้ง ในเมื่อวิธีการแก้ความขัดแย้งคือปิดกั้นไม่ให้แสดงความคิดเห็น เปิดเพลงปลุกใจ พูดออกทีวีฝ่ายเดียว ร่างรัฐธรรมนูญ 2558 มุ่งวางอำนาจกองทัพและศาลให้ควบคุมรัฐบาลและรัฐสภาจากเลือกตั้ง บังคับพรรคการเมืองให้ “ปรองดอง” กัน เพียงให้มีการเลือกตั้งเป็นพิธีกรรม โดยหวังว่าจะดึงความเชื่อมั่น หลอกฝรั่ง แทนการปกครองด้วยอำนาจรัฐประหารที่กติกาโลกไม่ยอมรับ
ผลเป็นไง ตอนนี้พรรคการเมืองทั้งสองฝ่ายกลับกลายเป็นคู่ขัดแย้งกับ คสช. พรรคเพื่อไทยประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์ก็เรียกร้องให้ สปช.คว่ำ เอาละ ถ้า สปช.ผ่านไปสู่การทำประชามติ ผมยังเชื่อว่านิสัยคนไทยจะ “ดื่มน้ำพิษดับกระหาย” ขณะที่ผู้คัดค้านก็จะไม่สามารถสื่อสารถึงประชาชนได้ แต่หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น หลังการเลือกตั้ง คิดหรือว่าจะสามารถยับยั้งความขัดแย้งรอบใหม่
ในเวลาสั้นๆ สมคิดคงออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกระตุ้นการใช้จ่ายได้บ้าง แต่เรื่องปรับโครงสร้างปลุกความเชื่อมั่นอย่างจริงจังนั้นอย่าหวัง อย่าว่าแต่ 100 สมคิด ต่อให้ 100 ฟิลิป คอตเลอร์ ก็ทำไม่ได้
นับจากนี้ไป อุณหภูมิการเมืองจะกลับมาคุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่คนไทยมีบทเรียนไม่ต้องการเห็น 14 ตุลา พฤษภา 35 อีก ความขัดแย้งจึงยื้อยาว มีปะทุบ้างเป็นพักๆ ไม่แตกหักแต่ทรมานกันได้อีกนาน อย่างที่บอก เผลอๆ จะ 5 ปี 10 ปี
เศรษฐกิจไทยก็จะอยู่ในวงจรอย่างนี้ หุ้นตกทั่วโลกเราก็ตก หุ้นขึ้นทั่วโลกเราขึ้นน้อยกว่า ยังมีศักยภาพให้เก็งกำไรหรือลงทุนระยะสั้น แต่อะไรที่ยั่งยืนอีก 5 ปีค่อยว่ากัน ถ้า 5 ปียังไม่เปลี่ยนเผื่อไว้ 10 ปี หรือไม่ก็ชินไปเอง (ฮา)
ใบตองแห้ง