ตลาดยังพักตัว
ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้
แม้จะบวกได้ 5.45 จุด (ปิด 1,242.99 จุด) แต่มูลค่าการซื้อขายเพียง 39,485 ล้านบาท
วอลุ่มซึม บางเฉียบ และดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ แบบนี้
สะท้อนว่า ตลาดยังอยู่ในช่วงของการพักตัว และออกไปในทิศทาง sideway down ด้วย
ช่วงเวลา 16.00 น. ของวานนี้ ยังนั่งลุ้นอยู่ว่า หากดัชนีกลับมายืนอยู่เหนือ 1,250 จุดไม่ได้ อย่างน้อยก็น่าจะเหนือซัก 1,245 จุดก็ยังดี เพราะจะทำให้วันนี้ดัชนีมีโอกาสไปต่อ
ที่ไหนได้ พอปิดต่ำกว่า 1,245 จุด ทำให้เกิดสัญญาณเทคนิคไม่ดีซะแล้ว
นักวิเคราะห์มีการประเมินว่า ดัชนีน่าจะเคลื่อนไหว หรือแกว่งแบบนี้ไปอีกสักระยะ
คือ หากแกว่งขึ้น ดัชนีก็ไม่น่าไปได้เกิน 1,260 จุด เพราะอย่าลืมว่า ในช่วงกลางเดือนนี้จะมีการชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้นอีก อาจทำให้หุ้นแกว่งลงบ้าง
ทว่า ก็ไม่น่าจะลงมาหนักอะไร เพราะที่ผ่านมาดัชนีลงมาค่อนข้างเยอะแล้ว
ประกอบกับช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
นักลงทุนสถาบัน หรือกองทุนต่าง ๆ น่าจะเพลา ๆ เรื่องการ “ปรับพอร์ต” ด้วยการขายหุ้นในกลุ่ม SET50 หลายตัวที่มีกำไร แล้วนำเงินไปใส่ในหุ้นไอพีโอ คือ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP)
เมื่อวานนี้เป็นวันแรกที่ต้องจ่ายค่าหุ้นไอพีโอตัวนี้
หุ้นที่เป็นเป้าหมายของการขาย ราคาจึงเริ่มนิ่ง ๆ เช่น BAM CPF GPSC
ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ มานั่ง ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย
ในทางกลับกัน พอจะเป็นปัจจัยบวกเล็ก ๆ (เล็กมาก ๆ)
เพราะชื่อของนายอาคม ไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไรกับตลาดหุ้น เพียงแต่นักลงทุนมีเซนติเมนต์ที่ดีขึ้นว่า “เรามีขุนคลังแล้ว” และทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีความคืบหน้าบ้าง
ต่อจากนี้ เมื่อมาตรการผ่านคณะรัฐมนตรี
คงต้องมาดูกันอีกรอบว่า จะส่งผลกับหุ้นกลุ่มไหน ตัวไหนบ้าง
ทำให้พอที่จะมีแรงเก็งกำไรกับหุ้นเหล่านั้น และส่งผลให้ดัชนีวิ่งขึ้นได้บ้าง แม้จะเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ
มีคำถามว่า ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หุ้นจะเป็นอย่างไร
ล่าสุด สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เขาทำแบบเซอร์เวย์ออกมาแล้ว
มาดูตัวเลขสำคัญ ๆ กันอีกครั้ง
มีการคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 57.36 บาท ลดจากการสำรวจครั้งก่อน 65.44 คาด EPS Growth งบปี 2563 เฉลี่ยอยู่ที่ -37%
จุดสูงสุดของดัชนีในช่วงเดือนต.ค. ถึงสิ้นปี 2563 เฉลี่ยที่ระดับ 1,347 จุด
โดย 70.59% (ของนักวิเคราะห์) คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุด 1,301–1,400 จุด
และมีผู้ตอบแบบสอบถาม 23.53% ที่คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ในช่วง 1,201–1,300 ตามลำดับและคาดการณ์จุดต่ำสุดของดัชนีราคาหุ้นไทยระหว่างปีนับจากนี้มีค่าเฉลี่ยจุดต่ำสุด ที่ 1,198 จุด
ส่วนเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2563 อยู่ที่ระดับ 1,300 จุด ซึ่งน้อยกว่าผลสำรวจของไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 1,383 จุด
ส่วนการจัดพอร์ตการลงทุน
มีคำแนะนำให้มีเงินสด 20% ของพอร์ต และมีกองทุนตราสารหนี้ 18%
การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงนั้น แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนไว้ในหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 21% รองลงมา ลงทุนในหุ้นต่างประเทศหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 20% ตามด้วย การแบ่งเงินลงทุนไว้ในทองคำ 10% และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ / REIT 10% ตามลำดับ
ขณะที่ นักวิเคราะห์ของ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน มองระยะ 3-4 สัปดาห์ข้างหน้า
ดัชนีหุ้นไทยยังอาจเผชิญความเสี่ยงทาง “ลงอีก 50-70 จุด” ในช่วงตลาด “เปราะบาง” จากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก
พร้อมกับแนะการเก็งกำไรเน้นเลือกซื้อรายตัว
และมีเงินสดบางส่วนรอซื้อในจังหวะที่ “ตลาดตกใจ” หรือ “แกว่งตัวแรง”
นี่คือ จะเป็นจังหวะดีในการทยอยซื้อหุ้นใหญ่พื้นฐานดี