ตลาดหุ้นกับม็อบ
ระหว่างปัจจัยต่างประเทศและในประเทศ
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
ระหว่างปัจจัยต่างประเทศและในประเทศ
นักวิเคราะห์ต่างมองว่า ปัจจัยต่างประเทศจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่า
เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดี และนโยบายด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ปัญหาโควิด-19 นโยบายด้านเศรษฐกิจและการเงินของกลุ่มประเทศยุโรป
และรวมถึงความเคลื่อนไหวของบริษัทขนาดใหญ่ของโลก
ส่วนปัจจัยในประเทศ
การเป็นเชิงบวก ก็คือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั่นแหละ
ทว่า จะต้องเป็นมาตรการที่ออกมาแล้วต้องร้อง “ว้าว” ด้วย ไม่อย่างนั้นไม่ได้ผล
ส่วนประเด็นเรื่องการเมืองกับตลาดหุ้นไทย ผูกพันกันมานานมากแล้วล่ะ
เชื่อว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ต่างเคยชินกับบรรยากาศทางการเมืองในรูปแบบต่าง ๆ จนชาชิน จนทำให้ทั้งนักวิเคราะห์และนักลงทุนต่างไม่ได้ให้น้ำหนักเรื่องการชุมนุมมากนัก
เว้นแต่ว่า จะเกิดความรุนแรงมากขึ้น
เกิดการปะทะของกลุ่มผู้สนับสนุนและต่อต้านรัฐบาล
การชุมนุมมีความยืดเยื้อ จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจให้สาหัสยิ่งขึ้น การปิดย่านธุรกิจ และทำให้เกิดการชะงักงันทางเศรษฐกิจในบางเซกเตอร์
แบบนี้จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นแน่นอน โดยเฉพาะในด้านของความเชื่อมั่น
ประเด็นของคำถามคือว่า การชุมนุมการเมืองรอบล่าสุด
ตลาดหุ้นตอบรับไปหรือยัง
เท่าที่คุยกับนักวิเคราะห์ ต่างบอกว่า “ตอบรับไปแล้ว”
แต่เป็นการตอบรับในมุมมองที่ว่า การชุมนุมจะต้องไม่เกิดความรุนแรง หรือมีความยืดเยื้อ และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
หากเกิดเหตุการณ์ ทั้งสองอย่าง
มีความเป็นไปได้ว่า ดัชนีตลาดหุ้นจะปรับลงอีก แต่จะไม่ได้รุนแรงหรือเกิดการแพนิก
เช่น เมื่อวานนี้ ที่มีเหตุปะทะกันเล็ก ๆ ของสองกลุ่ม
ตลาดหุ้นเองไม่ได้วิตกมากนัก
ดัชนีที่ปรับลงเพียง 9.44 จุด ถือว่าไม่มากนัก
และปัจจัยหลัก ๆ ที่กระทบหรือกดดัชนีมาจากเรื่องของ J&J ที่อาจจะ “ล้มเหลว” เรื่องการผลิตวัคซีนโควิด-19
แนวโน้มวันนี้ สัปดาห์นี้ก็ต้องดูการชุมนุมทางการเมืองว่าจะออกมาอย่างไร
การแสดงออกของรัฐบาลหลังถูกปิดล้อมทำเนียบ
เชื่อว่า นักลงทุนทั้งรายย่อย และสถาบันต่างดูทิศทาง และประเมินกันอยู่
รวมถึงจะมีการวิเคราะห์ว่า หากเกิดเหตุการณ์รุนแรง การชุมนุมยืดเยื้อ แล้วจะมีหุ้นกลุ่มไหน ตัวไหนที่ได้รับผลกระทบบ้าง และหุ้นกลุ่มไหนที่ปลอดภัย
ก่อนหน้านี้ บล.เอเซีย พลัส มีการเผยข้อมูลหุ้นกับการชุมนุมการเมือง
เช่น การชุมนุมกลุ่มพันธมิตรปี 2551
การชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ปี 2553
และการชุมนุมกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ปี 2556
พบว่าตลาดหุ้นไทยมีการ “ปรับฐาน” ลงเฉลี่ย 6.2%
และเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) เกิดการไหลออกเฉลี่ย 3.78 หมื่นล้านบาท
รวมถึงค่าเงินบาท กลับอ่อนค่าลงประมาณ 2.2%
ส่วนการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกถึงปัจจุบัน พบว่าดัชนีหุ้นปรับลดลง 7.4% ฟันด์โฟลว์ไหลออก 3.86 หมื่นล้านบาท และเงินบาทอ่อนค่าลงประมาณ 1.8%
ถือว่ามีความคล้ายคลึงกับในอดีต