ลมหายใจแห่งพลังจารีต
14 ตุลาคม 2516 ขบวนการนักศึกษาประชาชนชนะ สามารถขับไล่เผด็จการถนอม-ประภาสออกนอกประเทศเป็นผลสำเร็จ
ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
14 ตุลาคม 2516 ขบวนการนักศึกษาประชาชนชนะ สามารถขับไล่เผด็จการถนอม-ประภาสออกนอกประเทศเป็นผลสำเร็จ
แต่ 14 ตุลาคมปีนี้ ห่างกันถึง 47 ปี การเมืองยิ่งล้าหลัง แต่กระแสประชาชนนักเรียนนักศึกษา ยิ่งตื่นตัวก้าวหน้า ก็ยังแพ้!
การเมืองกับการบริหาร เปรียบเหมือน “เหรียญคนละด้าน” ถ้าการเมืองล้าหลัง การบริหารจะเจริญก้าวหน้าและมีประสิทธิภาพได้อย่างไร แต่หากการเมืองก้าวหน้า กอปรทั้งคุณธรรมและความสุจริตโปร่งใส การบริหารก็จะเจริญก้าวหน้าและมีประสิทธิภาพตามไปด้วย
กว่า 6 ปีแห่งการครองอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สมควรได้รับการประเมินผลงานด้านการเมืองและการบริหารเพียงใด
เป็นรัฐบาลที่ซื่อสัตย์สุจริตไหม ปฏิรูปการเมืองไปถึงไหนแล้ว และมี “ตัวช่วย” ทางกฎหมายจากองค์กรอิสระต่าง ๆ มากน้อยเพียงใด ค่านิยม 10 ประการที่ให้เด็กท่องจำน่ะ ตัวเองเป็นแบบอย่างเพียงใด
ด้านการบริหารล่ะ มีประสิทธิภาพและมีธรรมาภิบาลหรือความโปร่งใสที่จับต้องได้เพียงใด ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อวางแบบแผนอนาคตประเทศน่ะ มีอะไรสำเร็จสักด้านไหม
ผมแตกคำถามเพื่อให้ได้พิจารณาในรายละเอียด ก็เพื่อการประเมินคุณค่าของพล.อ.ประยุทธ์ทั้งในทางการเมืองและการบริหารตามเนื้อผ้าจริง ๆ โดยหลีกเลี่ยงอคติในการประเมินให้มากที่สุด แล้วก็จะพบว่า…
คะแนนเต็ม 10 จะให้สัก 1 คะแนน ก็ยังต้อง “กลั้นใจ” ไม่น้อย
บางเรื่องก็มโนเอาเอง มโนเอาเองนานวันเข้า ก็ตกผลึกทึกทักเป็นเรื่องจริง ลืมเสียสิ้นว่าเป็นเรื่องเริ่มต้นจากการมโนไปเลย อย่างเช่นข้ออ้างเรื่อง “ผมต้องเข้ามา เพราะคนไทยสองฝ่ายจะฆ่ากัน”
ดูไปแล้วก็เหมือน “วีรบุรุษขี่ม้าขาว” ดูเท่ดี แต่แท้จริงแล้ว มันก็เกิดจาก “ทฤษฎีสมคบคิด” หรือ “Conspiracy Theory” เราดี ๆ ที่ทหารเป็นหนึ่งกับม็อบปิดเมืองเราดี ๆ นี่เอง เพียงแต่แบ่งแยกหน้าที่กัน
แล้ววันหนึ่ง เมื่อสถานการณ์สุกงอม ก็อ้างเหตุยึดอำนาจว่าคนไทยจะฆ่ากัน จึงต้องเข้ามาระงับเหตุ
“เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น” ยามถูกรุกเร้าเรื่องผลงานและการแก้ไขปัญหา ก็ทำเป็นประจำ แถมชอบมีเสียงดุ ๆ ตวาดออกมาว่า “ทำไม มีรัฐบาลก่อนๆ ทำได้แบบนี้ไหม” บางทีก็มี “ปัดโธ่” ออกมาด้วยแน่ะ
แต่ทีเอาผลงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือ 30 บาท รักษาทุกโรคไปโชว์วิสัยทัศน์ในยูเอ็น ก็ดันเคลมเป็นผลงานรัฐบาลตัวเองเนียน ๆ ไปเลย
ความน่าเชื่อถือในเรื่องความสุจริตและโปร่งใสของรัฐบาลน่ะมีอยู่หรือ เรื่องนาฬิกายืมเพื่อน เป็นบ้าอะไรกันหรือถึงยืมกันได้เป็น 20 เรือน เรื่องขายที่ดินบรรพบุรุษเอย เรื่องคุณหลานตั้งบริษัทรับงานทหารในค่ายทหารเอย ล้วนทำให้เป็นเรื่องสงสัยเคลือบแคลงทั้งนั้น
บางเรื่องก็กลายเป็นลูกระเบิดมาย้อนศรใส่ตัวเอง อาทิเรื่อง “ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ” เพื่อให้มีสิทธิรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่พอโดนฟ้องร้องคดีเหมืองทอง ก็ใช้ “งบหลวง” ไปสู้คดีแล้ว 389 ล้านบาท
ถ้าแพ้คดี เสียค่าปรับเป็น 2-3 หมื่นล้านบาท ยังจะเอา “เงินหลวง” ไปจ่ายไหมเนี่ย คุณไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐมาใช้ “เงินหลวง” ได้เหรอ
องค์กรอิสระต่าง ๆ เช่นป.ป.ช. กกต. กระบวนการยุติธรรม ก็ทำหน้าที่กันอย่างบิดเบี้ยวไปหมด มีทั้งบัตรเขย่ง สูตรคำนวณปัดเศษ ที่ปล้นที่นั่งส.ส.พรรคหนึ่งไปแจกจ่ายให้พรรคจิ๋วหน้าตาเฉย การตีความกฎหมายต่าง ๆ ก็บิดเบื้ยวเป็นคุณกับฝ่ายอำนาจรัฐ และเป็นโทษกับอีกฝ่ายหนึ่งมาโดยตลอด
สำหรับในด้านการบริหารงาน นี่ก็ยังดีนะว่า มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัดแก่สาธารณชนจนเจ้าตัวก็ยอมรับด้วยแล้วว่าเศรษฐกิจซบเซามาตั้งแต่ก่อนโควิดแล้ว ไม่งั้นก็คงจะ “ตีเนียน” ไปกับโควิด
ผลงานเด่นที่ทำมาตลอด 6 ปีทั้งในคราบเผด็จการและเผด็จการจำแลง คือ อภิมหาประชานิยมแจก ยิ่งกว่าประชานิยมเจ้าตำรับเสียอีก
แจกเงินมั่ว ไม่ถูกช่องทาง เศรษฐกิจก็ไม่ฟื้นอ่ะดิ
การจะแจกเงินให้ถูกช่องทางน่ะหรือ ง่ายนิดเดียว! ก็รัฐบาลน่ะแหละ เป็นเจ้าภาพหาซอฟต์โลนมาให้ SME และวิสาหกิจใหญ่น้อยทั้งหลายกู้ไปหมุนเวียนกิจการและรักษาสภาพการจ้างงานในอัตราต่ำสัก 2-3% ไม่ใช่เอาเงินจากพ.ร.ก.กู้เงิน 1.5 ล้านล้านไปแจกมั่วซั่ว เดี๋ยวก็หมด
ถามหน่อยเถอะ ตำราการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลประยุทธ์ รู้จักแต่การกู้เงินและการแจกเงินอย่างเดียวหรือ การหารายได้น่ะเป็นไหม
บ้านเมืองจะไหวหรือ ที่ยังคงดึงดันเอาการเมืองเก่าคร่ำครึ มาครอบงำเศรษฐกิจยุคดิจิทัล และเปิดสงครามระหว่างวัยกับเจน X-Y-Z ยันขาสั้น-คอซองอย่างเอาเป็นเอาตาย