‘ทรง’ กับ ‘ทรุด’

*หากมองทิศทางของตลาดหุ้นไทยอ้างอิงกับตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก “โมนิก้า” บอกได้ในทันทีว่า มันไม่มีตัวแปรไหนที่ทำให้เชื่อว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกจะฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่นักการเมืองลากยาวมาเป็นเดือน ก็เป็นประเด็นที่ทำให้ทุกคนรู้เช่นเห็นชาติว่า ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง (คนขาว) กันทั้งนั้นพะยะค่ะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*หากมองทิศทางของตลาดหุ้นไทยอ้างอิงกับตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก “โมนิก้า” บอกได้ในทันทีว่า มันไม่มีตัวแปรไหนที่ทำให้เชื่อว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกจะฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่นักการเมืองลากยาวมาเป็นเดือน ก็เป็นประเด็นที่ทำให้ทุกคนรู้เช่นเห็นชาติว่า ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง (คนขาว) กันทั้งนั้นพะยะค่ะ

*ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้ “โมนิก้า” มองข่าวสารใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาสร้างความเชื่อมั่น น่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 63 เพราะเป็นจุดที่ชี้ชัดลงไปว่า มาตรการต่าง ๆ ที่ทุ่มลงไปสัมฤทธิผลขนาดไหน ? หรือแม้กระทั่งการกระทบกระทั่งของ “ม็อบเด็ก” กับ “รัฐบาล” ก็รู้ได้ทันทีว่า ความเก๋าเกมของเด็กสู้เหล่าผู้เฒ่าไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ส่งผลให้ขบวนทัพของม็อบดูอ่อนหัดเสียเหลือเกินเจ้าค่ะ

*โดยเฉพาะเมื่อเกมดังกล่าวเดินเข้าสู่รัฐสภา ย่อมทำให้รัฐบาลได้เปรียบหลายช่วงตัว เพราะเป็นการดึงทุกอย่างให้เข้าสู่กฎกติกาของฝั่งตัวเองแบบเนียน ๆ “โมนิก้า” ถึงพยายามเสมอว่า อย่าหลงเข้าไปเล่นเกมของคนอื่นเป็นอันขาด เพราะเหมือนเป็นการเดินเข้าไปติดกับดัก ซึ่งเหมือนกับการเล่นหุ้นในยามที่ทุกอย่างยังคงปั่นป่วน ย่อมทำให้กระบวนการซื้อหุ้นสะเปะสะปะไปหมดนะจะบอกให้

*ฉะนั้นการที่ดัชนีทรุดตัวลงไปถึงระดับ 1,204.73 จุด ก่อนจะเด้งขึ้นไปถึงระดับ  1,223.48 จุด และจบลงด้วยการปิดที่ 1,213.61 จุด ลบไป 2.87 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.63 หมื่นล้านบาท มันคือภาพสะท้อนของกลยุทธ์ “ขายบน ซื้อล่าง” ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในสภาพ “ทรงกับทรุด” แบบเลี่ยงไม่ได้ และจุดเปลี่ยนเดียวที่จะทำให้ดัชนียืนเหนือแนวรับสำคัญบริเวณ 1,200 จุด ได้แบบคงเส้นคงว่าคงหนีไม่พ้นกำไรไตรมาส 3 ต้องออกมาดีกว่าคาด ตลาดหุ้นไทยถึงจะกลับมามีชีวิตชีวานะออเจ้า !

*เรื่องนี้เหมือนอาการโรยราของหุ้นสุดฮอตอย่าง DELTA ล้วนเป็นผลมาจากกองทุนไต้หวันปั่นคนเดียว (เขาลือกันแบบนี้) เมื่อไม่มีคนแห่ตามเหมือนครั้งก่อน ๆ จึงทำให้ราคาหุ้นอยู่ในทิศทางลงอีกรอบ “โมนิก้า” ถึงไม่แปลกใจที่ราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ 178.50 บาท ลบไป 5.50 บาท หรือลงไป 2.99% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.02 พันล้านบาท เพราะมันไม่มีมุมที่ทำให้แมงเม่าแห่เข้าไปรับของนะซี

*คล้ายกับสถานการณ์ของหุ้น CKP ถูกกองทุนถล่มขายออกมาเรื่อย ๆ ตลอดระยะเวลา 1 เดือน จนราคาหุ้นร่วงจากจุดสูงสุดที่ระดับ 6 บาท ลงมากองอยู่ที่ระดับ 4.18 บาท ลบไป 0.14 บาท หรือลงไป 3.24% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 249.69 ล้านบาท กลายเป็นช็อตที่ทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงเหตุการณ์ในภายภาคหน้าคงย่ำแย่กว่าเดิม เพราะในช่วงครึ่งปีแรกก็ขาดทุนยับ จึงไม่มีใครเชื่อว่า ครึ่งปีหลังจะแก้มือสำเร็จไงล่ะค่ะ

*อีกรายที่มีอาการ่อแร่ไม่แพ้กัน “โมนิก้า” คงมองไปที่แบงก์สีฟ้า KTB เป็นรายถัดไปในทันที เพราะเมื่อดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตควบคู่กับกำไรที่ลดฮวบเกินครึ่ง และต้องอยู่ในภาวะถดถอยแบบนี้ต่อไปอีกอย่างน้อย 2 ไตรมาส จึงกลายเป็นตัวแปรที่กดดันให้ราคาหุ้นทรุดลงต่อเนื่อง เดี๊ยนถึงมองราคาปิดที่ 8.55 บาท ลบไป 0.15 บาท หรือลงไป 1.72% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 204.05 ล้านบาท ท่ามกลางค่า P/E 5 เท่าแบบนี้ มันเป็นผลมาจากนักเล่นไม่เชื่อมั่นในตัวธนาคารล้วน ๆ เจ้าค่ะ

*เช่นเดียวกับในรายของ TRUE ไหลลงมาเรื่อย ๆ จนลงมายืนอยู่ที่ 2.78 บาท ลบไป 0.06 บาท หรือลงไป 2.11% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 189.54 ล้านบาท ก็ได้รับผลกระทบโดยตรงจากกำไรไม่ปังเหมือนที่คาดหวัง ทำให้พวกกองทุนรินหุ้นออกมาตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ดูไม่ดีเอาเสียเลยในระยะยาว เพราะมองไม่เห็นจุดตัดที่จะทำให้ราคาหุ้นเด้งกลับขึ้นไปอย่างแข็งแกร่งในเร็ววันนะซี

*ส่วนรายที่มีการโค้งตัวลงแบบ U-Shape หัวคว่ำ ค่อนข้างชัดเจนอย่าง OSP กลายเป็นช็อตที่ “โมนิก้า” อยากเอ่ยถึงมากสุดเช่นกัน ! เพราะการทิ้งตัวลงเที่ยวนี้ทำให้คนที่คิดจะเข้าไปรับของเกิดอาการร้อน ๆ  หนาว ๆ ไปตาม ๆ กัน เพราะโมเมนตัมของหุ้นยังไม่เจอจุดเปลี่ยนที่จะทำให้หุ้นเด้งกลับขึ้นได้ บวกกับเที่ยวก่อนหุ้นทำโลว์ไว้ที่ระดับ 27 บาท จึงอยากให้แฟนคลับดูการยืนปิดที่ 31.75 บาท ทรงตัวจากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 249.98 ล้านบาท เหมาะต่อการลองเสี่ยงดูสักตั้งไหมเอ่ย ?..อิอิอิ

Back to top button