บลูชิพอ่วม!
*แรงกระเพื่อมจากไวรัสโควิด-19 กลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมอีกครั้ง หลังตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ในประเทศ สหรัฐฯ กับ ยุโรป พุ่งไม่หยุด จนเกิดความวิตกกังวลกันว่า เศรษฐกิจโลกมีสิทธิ์ที่จะพังพาบมากกว่าเดิม จึงพากันทิ้งหุ้นแบบหูดับตับไหม้ ส่งผลให้ภาพรวมของการลงทุนทั่วโลกไม่มีอะไรบรรเจิดสักอย่างพะยะค่ะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*แรงกระเพื่อมจากไวรัสโควิด-19 กลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมอีกครั้ง หลังตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ในประเทศ สหรัฐฯ กับ ยุโรป พุ่งไม่หยุด จนเกิดความวิตกกังวลกันว่า เศรษฐกิจโลกมีสิทธิ์ที่จะพังพาบมากกว่าเดิม จึงพากันทิ้งหุ้นแบบหูดับตับไหม้ ส่งผลให้ภาพรวมของการลงทุนทั่วโลกไม่มีอะไรบรรเจิดสักอย่างพะยะค่ะ
*สำหรับเป้าหลักของการทิ้งหุ้นเที่ยวนี้ยังอยู่ที่บลูชิพ หลังเห็นกันเต็มสองลูกตาว่า น่าจะโดนผลกระทบทางเศรษฐกิจเล่นงานหนัก “โมนิก้า” ถึงมองภาพของหุ้นขนาดใหญ่กำลังตกที่นั่งลำบากกันเป็นแถว และการที่ดัชนีรูดลงจนหลุด 1,200 จุด ก่อนจะเด้งกลับขึ้นมายืนปิดที่ 1,208.95 จุด บวกไป 0.98 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.57 หมื่นล้านบาท ย่อมเป็นการฉายภาพความอ่อนแอของตลาดหุ้นไทยได้เป็นอย่างดี จึงต้องเผื่อใจกับสถานการณ์ในภายภาคหน้าด้วยนะคะ
*โดยเฉพาะความวุ่นวายในประเทศที่ซัดกันมั่วซั่วไปหมด และมีแต่วาทกรรมที่สาดขี้ใส่กันไม่หยุดหย่อน “โมนิก้า” มองเป็นหายนะของทุกฝ่ายที่เลือกเดินมาในจุดนี้เอง ซึ่งแต่ละคนต้องยอมรับผลลัพธ์ที่จะเกิดในภายหลังด้วยความเต็มใจ..ถึงกระนั้นเดี๊ยนก็ยังมีความหวังลึก ๆ ว่า บริษัทจดทะเบียนของไทยจะเอาตัวรอด เพราะเคยผ่านวิกฤติที่ถาโถมมาหลายครั้งแล้วนะซี
*ส่วนรายที่มีอาการสาหัส “โมนิก้า” คงพุ่งเป้าไปยังน้องมิ้น MINT เป็นรายแรก เพราะเดิมทีเคยเชื่อกันว่า โควิด-19 น่าจะทุเลาลงเรื่อย ๆ แต่กลายเป็นระบาดหนักกว่าเดิม จนทำให้กองทุนไม่สบายใจอย่างแรง และนำไปสู่การขายหุ้นทิ้งตลอดเวลา หุ้นถึงไหลลงมายืนปิดที่ 17.20 บาท ลบไป 0.60 บาท หรือลงไป 3.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.32 พันล้านบาท พร้อมกับส่อแววจะไหลลงไปถึงระดับ 14 บาทแบบนี้..อยู่เฉย ๆ ไปก่อนดีกว่ามั้ง !
*ประเด็นข้างต้นทำให้หุ้นโรงกลั่น TOP ขึ้นมาติดอยู่ในทำเนียบ “หุ้นเสียว” หลังราคาหุ้นทำท่าอ่อนตัวลงหนักอีกรอบ แต่เผอิญมีแนวรับเก่าที่บริเวณ 32 บาทคอยช้อนไว้ “โมนิก้า” ถึงมองการทรุดตัวลงมายืนปิดที่ 34.25 บาท ลบไป 1.25 บาท หรือลงไป 3.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 664 ล้านบาท กลายเป็นจุดวัดใจคนกล้าไปเสียแล้ว เพราะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังแกว่งตัวขึ้น ๆ ลง ๆ เลยเดาทางไม่ถูกเหมือนกันว่า หุ้นจะตอบรับทางไหนเจ้าค่ะ
*คล้ายกับกรณีของเจ้าพ่อเครือข่ายโทรคมนาคม ADVANC ก็มีประเด็นให้ฉุกคิดมากมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกำไรหดตัว ต่างชาติเบือนหน้าหนี หุ้นไซด์เวย์ดาวน์ (ลูกเดียว) ล้วนเป็นประเด็นที่ทำให้ “โมนิก้า” มองไม่เห็นจุดตัดที่จะทำให้ราคาหุ้นกลับขึ้นมาดีดั่งเดิม จึงอยากให้มิตรสหายประเมินการยืนปิดที่ 172 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 0.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 615 ล้านบาท ท่ามกลางค่า P/E 17 เท่า ยังพอรับไหวไหมเอ่ย ?
*สำหรับรายที่พยายามฝืนกระแสอย่าง AOT กลายเป็นช็อตที่ทำให้คนที่เฝ้าดูเหตุการณ์ลำบากใจเหลือคณา เพราะราคาหุ้นดันมีอาการ “ลงไม่สุด ขึ้นไม่ไหว” ส่งผลให้ทุกอย่างแทงกั๊กเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ “โมนิก้า” ถึงอยากให้แมงเม่าดูการยืนปิดที่ระดับ 54.25 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 0.90%บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.79 พันล้านบาท โดยมีกรอบบนที่เล่นเที่ยวก่อนอยู่บริเวณ 60 บาท ขณะที่กรอบล่างเล่นกันบริเวณ 49 บาท มันน่าหงุดหงิดใจไหมล่ะค่ะ
*ส่วนรายที่ฟื้นตัวขึ้นมาได้หน่อย “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น THANI เพื่อชี้ให้เห็นการแกว่งตัวไปมาแคบ ๆ ระยะหนึ่ง ก่อนจะถีบตัวขึ้นมาปิดที่ระดับ 3.32 บาท บวกไป 0.10 บาท หรือขึ้นไป 3.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 193 ล้านบาท กลายเป็นช็อตน่าลุ้นสำหรับคนที่มองค่า P/E 10 เท่าเป็นระดับที่ลงทุนได้สบาย ๆ ส่วนใครที่คิดต่างไปจากนี้ ก็ขอให้อยู่นิ่ง ๆ เป็นการชั่วคราว..คุณแม่ขอร้อง !
*เช่นเดียวกับในรายของ HMPRO หลังประกาศงบออกมาดีกว่าคาด แรงซื้อก็ไหลกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนดันราคาหุ้นขึ้นมาปิดที่ระดับ 14.10 บาท บวกไป 0.60 บาท หรือขึ้นไป 4.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 480 ล้านบาท กลายเป็นช็อตที่ปลุกความหวังให้กับเหล่านักเล่นอีกครั้ง และในโค้งสุดท้ายของปี 63 น่าจะทำผลงานได้ดีจากโครงการ “ช้อปดีมีคืน” จึงกลายเป็นหุ้นที่น่าจับตาขึ้นมาทันทีพะยะค่ะ