พาราสาวะถี
การกรีดเลือดกลางสภาของ วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม แต่ก็สะท้อนภาพให้เห็นความขัดแย้งแตกแยกของผู้คนในสังคมได้เป็นอย่างดี และชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไรก็คือ ท่วงทำนองของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและลิ่วล้อ ที่ทั้งสมน้ำหน้า และเหยียดหยามว่าเป็นการเล่นละครฉากใหญ่ หวังดิสเครดิตฝ่ายกุมอำนาจ นี่แหละที่เขาเรียกว่า อำนาจบังตาทำให้มืดบอดต่อทุกการกระทำของฝ่ายที่เห็นต่าง
อรชุน
การกรีดเลือดกลางสภาของ วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม แต่ก็สะท้อนภาพให้เห็นความขัดแย้งแตกแยกของผู้คนในสังคมได้เป็นอย่างดี และชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไรก็คือ ท่วงทำนองของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและลิ่วล้อ ที่ทั้งสมน้ำหน้า และเหยียดหยามว่าเป็นการเล่นละครฉากใหญ่ หวังดิสเครดิตฝ่ายกุมอำนาจ นี่แหละที่เขาเรียกว่า อำนาจบังตาทำให้มืดบอดต่อทุกการกระทำของฝ่ายที่เห็นต่าง
แน่นอนว่า ไม่มีใครเห็นด้วยกับสิ่งที่ส.ส.รายดังกล่าวกระทำเป็นแน่แท้ แต่หากตั้งสติพิจารณาจากสิ่งที่เป็นข้อเรียกร้อง วิสารไม่ได้บอกว่าการเจ็บตัวรอบนี้เพื่อแลกกับการให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจลาออก หากแต่เป็นการบอกว่าอย่าได้ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมหรือนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่เป็นเหมือนลูกหลานอีก หากไม่เหลิงในอำนาจ หากไม่มัวเมากับสิ่งที่เป็นหัวโขน ย่อมจะใช้เหตุผลในการอธิบายและแสดงความเห็นอกเห็นใจที่คนกรีดแขนตัวเองมากกว่า
นี่ไงการเมืองแบบสร้างสรรค์ นี่หรือการเมืองที่บอกว่าไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องของวาทกรรมที่สร้างขึ้นมาเพื่อสร้างภาพให้ตัวเองและพรรคพวกดูดีทั้งสิ้น แม้กระทั่งเรื่องถอยคนละก้าว ถามว่าจนถึงนาทีนี้เห็นการถอยของฝ่ายอำนาจสืบทอดแล้วหรือไม่ ถ้าถอยก็ต้องถามว่าเป็นการถอยด้วยความเต็มใจหรือเปล่า หรือเต็มไปด้วยลีลาลูกเล่น เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากจริงใจตั้งแต่ต้นไม่ตั้งคณะกรรมาธิการยื้อเวลา ป่านนี้ก็มีความคืบหน้าไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
การจะมาอ้างโน่นอ้างนี่สารพัด ยังไงก็ฟังไม่ขึ้น ในเมื่อมองเห็นกันอยู่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหา ทั้งที่มาและเนื้อหาเพื่อการสืบทอดอำนาจอย่างชัดเจน ไม่นับรวมปัญหาที่เกิดจากการบังคับใช้ในหลาย ๆ เรื่อง ขณะเดียวกัน การที่บอกว่าไฟเขียวให้แก้ มันก็แสดงให้เห็นธาตุแท้ของคนสืบทอดอำนาจอยู่แล้วว่าปลิ้นปล้อนขนาดไหน จากที่อ้างว่าส.ว.ลากตั้งสั่งไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับเป็นว่าจะให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านทั้ง 3 วาระภายในเดือนธันวาคมนี้
นี่คือความตลบตะแลง ไม่ว่าจะพยายามหลบหลีกด้วยเล่ห์กลใดก็ตาม สุดท้าย สิ่งที่คนทั่วไปเห็นมันก็คือขบวนการของฝ่ายสืบทอดอำนาจที่ปิดไม่มิด การที่ตาลีตาเหลือกว่าจะแก้ให้เสร็จภายในเดือนธันวาคมนั้น แล้วไม่เกรงใจเสียงที่ผ่านประชามติรัฐธรรมนูญเหมือนอย่างที่เคยยืนยันอย่างแข็งขันก่อนหน้าหรือ บอกแล้วว่าคุณสมบัติลื่นไหลของเผด็จการยุคใหม่มันเป็นไปแบบนี้ จึงไม่แปลกที่จะสามารถผสมพันธุ์กับพรรคการเมืองประเภทปลาไหลเรียกพี่ได้อย่างสนิทใจ
ขณะเดียวกัน การที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจบอกว่าเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญ ก็ยอมให้แก้แล้ว ก็ทำให้เห็นอีกด้านหนึ่งว่า กฎหมายสูงสุดของประเทศที่บังคับใช้อยู่เวลานี้ไม่ใช่กฎหมายของคนไทยทุกคน แต่เป็นรัฐธรรมนูญที่มีเจ้าของสามารถสั่งให้แก้ได้หรือไม่อยากให้แก้ก็ได้ นี่ไงคืออีกหนึ่งความผิดที่ท่านผู้นำไม่ต้องไปเที่ยวโพนทะนาถามใครว่า “ผมผิดอะไร” รู้กันอยู่เต็มอก ที่ทนอยู่กันทุกวันนี้ก็เพราะอย่างหนาเรียกพี่ต่างหาก
ยิ่งอ้างว่าตัวเองมาด้วยอะไร ไม่ต้องมาไล่ ไม่ต้องมาบีบบังคับ ภารกิจที่ทำยังไม่จบ ก็อยากถามอยู่เหมือนกันว่า ถ้าจะใช้เหตุผลนี้จะอยู่อีกกี่ปี 20 ปีไปเลยหรือไม่ หากอ้างความชอบธรรมตามกฎหมายใครก็คงทำอะไรไม่ได้ และยิ่งเป็นกฎหมายที่เขียนมาเพื่อตัวเอง แต่หากมองย้อนกลับไปยังผลงานในฐานะผู้นำประเทศถามว่าได้ทำอะไรให้เป็นที่พอใจของคนทั้งประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นหรือไม่ คำตอบมันมีอยู่แล้วหากไม่โกหกตัวเอง
เมื่อเดินกันไปอย่างนี้ สถานการณ์ของประเทศก็บอกได้อย่างเดียวว่ารอวันที่จะเกิดการปะทะหรือสงครามกลางเมืองเท่านั้น เพราะฝ่ายกุมอำนาจมองไม่เห็นความไร้ประสิทธิภาพของตัวเอง ขณะเดียวกันก็ยังมีการปลุกระดมฝ่ายสนับสนุนให้ออกมาเคลื่อนไหว ซี่งนั่นมันย่อมมองให้เป็นปลายทางว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร ในเมื่อฟากฝั่งหนึ่งขับเคลื่อนไปด้วยเหตุด้วยผลและไม่นิยมความรุนแรง แต่อีกพวกหลับหูหลับตาและพร้อมจะปะทะอยู่ตลอดเวลา
เหมือนกับก่อนที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะก่อการรัฐประหาร ที่มีการสร้างสถานการณ์เพื่อนำมาซึ่งการยึดอำนาจ อ้างเรื่องของการปฏิรูปสารพัดโดยเฉพาะด้านการเมือง ท้ายที่สุดนอกจากไม่ได้นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงใด ๆ แล้ว กลับพบว่าหลายเรื่องเข้ารกเข้าพงยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เหมือนอย่างที่ นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลาที่เคยเป็นแนวร่วมม็อบชัตดาวน์ประเทศให้สัมภาษณ์ล่าสุดด้วยความผิดหวัง
โดยที่เจ้าตัวยอมรับว่า ตั้งแต่รัฐประหารก็คิดแล้วว่า “โดนหลอก” ขบวนการประชาชนโดนหลอก โดนหลอกอย่างยิ่ง แล้วคนที่รู้สึกวันนี้ก็มีเยอะ ไม่ได้มีแต่ตนเพียงคนเดียว เพียงแต่ว่าตอนนั้นตนไม่กล้าหาญพอที่จะลุกขึ้นมาปฏิเสธอำนาจเผด็จการ ความรู้สึกที่ถูกรัฐประหารมันก็เก็บเอาไว้ว่ามันไม่ใช่ แล้วยิ่งพอ คสช.มีอำนาจ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยิ่งชัดเจน มันถูกเก็บไว้ยังไม่มีจังหวะที่จะบอกกล่าวผู้คน แต่ยังดีที่สุดท้ายหมอสุภัทรรู้ตัวและออกมากล่าวขอโทษประชาชน
ผิดกับบางคนที่นอกจากไม่สำนึกยังไปร่วมเสวยสุขกับขบวนการสืบทอดอำนาจอีกต่างหาก การถูกหลอกของคนอย่างหมอสุภัทรในเวลานั้นก็คือ การหวังจะเห็นการปฏิรูปหรืออาจจะมากกว่าปฏิรูป อยากเห็นการปฏิวัติ เห็นการตื่นตัวของภาคประชาชนทั้งประเทศในการปรับระบบโครงสร้างทางการเมืองและโครงสร้างข้างบน ที่ไม่ได้ไปไกลถึงสถาบัน ข้างบนก็คือระบบรัฐสภา ระบบพรรคการเมือง หรือกลไกการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาล แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรอย่างที่เห็นและเป็นไป นี่ไงบทพิสูจน์ของคำว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจร โดยเฉพาะโจรที่ปล้นประชาธิปไตย