พาราสาวะถี

ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายกับผลลงมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อเสียงส.ว.โหวตรับร่างของพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคร่วมฝ่ายค้าน แล้วตีตกร่างของไอลอว์ โดยมีส.ว.เพียง 3 คนที่ลงมติรับหลักการในร่างดังกล่าว โดยที่ประชุมมีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ 45 คนมาพิจารณา แบ่งเป็นส.ส. 30 คน ส.ว. 15 คน กำหนดเวลาแปรญัตติ 15 วัน โดยยึดร่างแก้ไขของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นร่างหลักในการพิจารณา และเริ่มประชุมนัดแรกวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้


อรชุน

ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายกับผลลงมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อเสียงส.ว.โหวตรับร่างของพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคร่วมฝ่ายค้าน แล้วตีตกร่างของไอลอว์ โดยมีส.ว.เพียง 3 คนที่ลงมติรับหลักการในร่างดังกล่าว โดยที่ประชุมมีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ 45 คนมาพิจารณา แบ่งเป็นส.ส. 30 คน ส.ว. 15 คน กำหนดเวลาแปรญัตติ 15 วัน โดยยึดร่างแก้ไขของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นร่างหลักในการพิจารณา และเริ่มประชุมนัดแรกวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้

ขณะที่ฝ่ายผู้ชุมนุมคณะราษฎรก็รู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาอย่างไร ดังนั้น จึงไม่ได้สนใจต่อกรณีนี้ การนัดชุมนุมใหญ่แยกราชประสงค์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ถือเป็นการรวมตัวเพื่อแสดงพลังและเอาคืนตำรวจที่ฉีดน้ำ ขว้างแก๊สน้ำตา ใช้กระสุนยางยิ่งใส่ผู้ชุมนุมวันที่นัดรวมตัวหน้ารัฐสภา ภาพก็อย่างที่เห็นมีการสาดสี ละเลงเสียจนป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติเละเทะ คนสีกากีคงไม่ต้องโอดครวญเพราะม็อบชัตดาวน์ประเทศก็เคยกระทำย่ำยีสัญลักษณ์ขององค์กรนี้ให้เป็นตัวอย่างมาก่อนแล้ว

ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่างานของฝ่ายความมั่นคงโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจกับการดูแลม็อบราษฎร จะโจทย์ที่หนักและเหนื่อยขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำคณะราษฎร ประกาศในการชุมนุมดังกล่าวว่า “ขอให้ราษฎรทุกผองทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าอยู่แห่งไหนก็ตาม 25 พฤศจิกายนนี้ ขอให้ราษฎรทุกคนไปเจอกันที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ราษฎรกลับไปพักผ่อน แล้วเจอกัน งานนี้ถือเป็นอีกหนึ่งท่วงทำนองอันท้าทายของฝ่ายผู้ชุมนุม

แน่นอนว่า ไม่ใช่แค่เรื่องของฝ่ายความมั่นคงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อพิจารณาจากสถานที่ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมประกาศจะไปรวมตัวกัน หากแต่มีคำถามไปถึงรัฐบาลภายใต้การนำของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจว่า ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่ตัวเองกลายเป็นชนวนทำให้บางเรื่องแปดเปื้อนชนิดที่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนเคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างนั้นหรือ มิหนำซ้ำ ก็ยังมีการใช้สีเสื้อออกมาเคลื่อนไหวในทางเป็นคุณให้กับตัวเองโดยไม่ได้สำเหนียกเรื่องของความควรไม่ควรด้วยอีกต่างหาก

การอ้างว่าเป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละฝ่าย แต่ละคน หากเป็นพวกที่อับจนปัญญาก็คงจะคิดและมองเช่นนั้นได้ แต่สำหรับผู้ที่มีอำนาจกรณีที่ฝ่ายสนับสนุนตัวเองออกมาเคลื่อนไหวโดยใช้สิ่งที่ไม่บังควรมาบังหน้า ย่อมถือว่าเป็นความจงใจที่ทำให้เกิดการระคายเคือง เรื่องเช่นนี้จึงมีคนเรียกร้องผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจว่า น่าจะต้องหันกลับไปพิจารณาตัวเอง สมควรแสดงความรับผิดชอบเหมือนอย่างกรณีพันท้ายนรสิงห์หรือไม่

แต่จนถึงนาทีนี้การที่อ้างแต่ข้อกฎหมาย ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นกฎหมายที่ใคร พวกไหนเป็นคนเขียนและเพื่อเป้าหมายใด ย่อมไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือแก่ผู้พูด มิหนำซ้ำ ยังทำให้ตัวเองดูตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ เพราะแค่การบังคับใช้กฎหมายในทางปฏิบัติก็เกิดการเลือกปฏิบัติกันอย่างชัดเจน วาทกรรมของส.ส.หญิงที่ว่ากลุ่มหนึ่งได้รับน้ำส้ม กลุ่มหนึ่งได้รับแก๊สน้ำตา นั้น เป็นภาพสะท้อนของกระบวนการยุติธรรมลำเอียงได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ สิ่งที่พบเห็นในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น วัน ๆ เอาแต่คิดที่จะหาวิธีเพื่อที่จะมาปราบม็อบโดยอ้างหลักการสากล แต่วิธีการปฏิบัติที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นไปตามหลักสากล ลำพังแค่การปล่อยให้ฝ่ายหนึ่งทำอย่างหนึ่งได้ ขณะที่อีกฝ่ายห้ามและจัดการอย่างเด็ดขาด มันก็ไม่เหลือความชอบธรรมใด ๆ ที่จะให้ประชาชนเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว และที่คนสั่งการคงจะลืมหรือจงใจไม่นึกถึงก็คือ เวลานี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว

การชุมนุมของกลุ่มคนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้เหมือนในอดีต ไม่ว่าจะใช้งบประมาณของภาครัฐไปดำเนินการจัดซื้อเครื่องไม้เครื่องมืออะไรมาเพื่อจัดการม็อบ แต่ฝ่ายผู้ชุมนุมก็เตรียมการและรับมือได้ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่ว่าการสื่อสารที่ทันสมัยและสามารถหาชุด อุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น หากแต่นาทีนี้ใจของคนที่ออกมาเคลื่อนไหวนั้น ได้ก้าวข้ามพ้นขีดความกลัวทั้งหลายไปแล้ว มีเพียงความแน่วแน่ที่จะเดินไปให้ถึงจุดหมายภายใต้สโลแกนต้องจบที่รุ่นเราเท่านั้น

ในแง่ของเครื่องมือจัดการม็อบอย่างกรณีล่าสุด ที่มีการติดเครื่อง Long Range Acoustic Device หรือ LRAD บนรถฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อหวังจะส่งคลื่นเสียงที่ดังกว่า 130 เดซิเบลและไกลถึง 600 เมตร อันจะส่งผลให้ผู้ที่อยู่ใกล้รัศมี 120 เมตรอาจเกิดอาการหูดับได้นั้น ทันทีทันใดที่ปรากฏข่าวดังว่า โลกออนไลน์ก็ได้มีการประกาศรับบริจาค earplug หรือที่อุดหูสำหรับการ์ดม็อบ และมีการแชร์วิธีการสวมใส่ที่อุดหูที่ถูกต้องกันอย่างกว้างขวาง ทันทีทันใดเหมือนกัน

นั่นหมายความว่า การจะจัดการกับม็อบโดยใช้กำลังและถูลู่ถูกังกันไปแบบนี้ ก็ดูท่าว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจคงจะเหนื่อยอีกนาน และไม่รู้ว่าระหว่างผู้ชุมนุมกับท่านผู้นำนั้นใครจะไปก่อนกัน อย่างที่บอกว่ายิ่งนานวันความเข้มแข็งของฝ่ายเคลื่อนไหวยิ่งเพิ่มขึ้น และเข้มข้นมากขึ้นกับแนวทางการขับเคลื่อน ด้านฟากของผู้นำยิ่งอยู่นานยิ่งขยับเข้าใกล้ความเสื่อมอยู่เรื่อย ๆ มองไม่เห็นโอกาสว่าจะกลับมามีแต้มต่อเหนือฝ่ายต่อต้านได้อย่างไร

ขณะที่ประเด็นเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอ้างว่าเป็นเรื่องของสภา ตนอยู่เป็นฝ่ายบริหาร รัฐบาลนี้มีหน้าที่ในการสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนจะแก้อย่างไรให้ว่ากันมา ไม่ใช่ว่านายกฯ จะไปสั่งใครได้ทั้งหมด เป็นเรื่องกลไกของรัฐสภาฝ่ายนิติบัญญัตินั้น ให้ลองคิดกันดูว่า พอพูดมาถึงตรงนี้ ลูกตัวเงินตัวทองในทำเนียบฯ ยังโผล่หน้ามาฟังท่านผู้นำพูด แม้จะเป็นเรื่องบังเอิญที่ดูไม่เกี่ยวกัน แต่มันก็พอจะเปรียบเปรยได้ว่าที่อ้างมานั้นมันเป็นการทำเหมือนกับชื่อเรียกอีกอย่างของสัตว์ชนิดนี้นั่นเอง

Back to top button