พาราสาวะถี
โพสต์ของทหารที่ซ้อมยิงปืนแล้วบอกว่า “ซ้อมไว้เอาไปยิงม็อบ” ก่อนที่จะมีการลบและออกมาขอโทษ แต่นั่นไม่ได้กลายเป็นภาพสะท้อนของความมีอยู่จริงในการล้างสมอง ปั่นหัวให้คนที่มีกำลังและอาวุธ มองผู้เห็นต่างจากฝ่ายกุมอำนาจเป็นศัตรู คำถามที่สำคัญคือ ถึงขั้นที่จะต้องเข่นฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งอย่างนั้นหรือ ดังนั้น เรื่องของความพยายามที่จะยั่วยุ จัดตั้งคนมาเพื่อปะทะกลุ่มผู้ชุมนุมคณะราษฎรเพื่อหวังให้มีเรื่อง ก็คงเป็นอีกหนึ่งอย่างที่เป็นจริงเช่นเดียวกัน
อรชุน
โพสต์ของทหารที่ซ้อมยิงปืนแล้วบอกว่า “ซ้อมไว้เอาไปยิงม็อบ” ก่อนที่จะมีการลบและออกมาขอโทษ แต่นั่นไม่ได้กลายเป็นภาพสะท้อนของความมีอยู่จริงในการล้างสมอง ปั่นหัวให้คนที่มีกำลังและอาวุธ มองผู้เห็นต่างจากฝ่ายกุมอำนาจเป็นศัตรู คำถามที่สำคัญคือ ถึงขั้นที่จะต้องเข่นฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งอย่างนั้นหรือ ดังนั้น เรื่องของความพยายามที่จะยั่วยุ จัดตั้งคนมาเพื่อปะทะกลุ่มผู้ชุมนุมคณะราษฎรเพื่อหวังให้มีเรื่อง ก็คงเป็นอีกหนึ่งอย่างที่เป็นจริงเช่นเดียวกัน
ภาพของการระดมตู้คอนเทนเนอร์เพื่อสกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมที่ประกาศเป้าหมายแรกว่าจะไปหน้าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น เข้าใจได้ว่าต้องทำกันถึงขนาดนั้น มิเช่นนั้น ก็ไม่อาจจะขัดขวางคนหนุ่มสาวและประชาชนได้ เหมือนเหตุการณ์ที่หน้ารัฐสภา แต่สุดท้ายก็อย่างที่เห็นฝ่ายเคลื่อนไหวอ่านเกมออก มองกันอยู่แล้วว่า ถ้าเดินไปตามนั้นก็เท่ากับเข้าทางตีน สุดท้ายก็ถึงทางตันและปิดเกมของตัวเองทันที
นี่จึงเป็นสิ่งที่สะกิดกันมาตลอดว่าท้ายที่สุดระวังโดน “แกง” ขณะเดียวกันก็จะเห็นได้ว่ามีการยกระดับการบังคับใช้กฎหมายโดยนำมาตรา 112 มาดำเนินการกับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม จำนวน 12 ราย ถึงขั้นที่ไปขอศาลให้ออกหมายจับ ยังดีที่ว่าศาลมีความเมตตาและมองเห็นว่ามันไม่น่าจะถึงขั้นนั้น จึงให้ออกเป็นหมายเรียกแทน นี่ก็เป็นอีกภาพของกระบวนการทำงานของคนสีกากีเที่ยวนี้ ที่แสดงความเป็นกลางเป็นที่ประจักษ์ว่า ฝ่ายต่อต้านขบวนการสืบทอดอำนาจนั้น ต้องใช้กฎหมายที่แรงและเด็ดขาดเข้าไว้
ไม่ใช่ว่ามาดำเนินการหลังจากที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจประกาศจะยกระดับคุมเข้มการชุมนุมและบังคับใช้กฎหมายทุกฉบับทุกมาตรา แต่เป็นมาก่อนหน้านั้นแล้ว ทั้งการเลือกปฏิบัติต่อฝ่ายชุมนุมสองฝั่ง ยิ่งการออกหมายจับแกนนำจนกระทั่งศาลสั่งให้มีการถอนหมายจับในช่วงหลังนั้น เหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า ทำไมนับวันการเคลื่อนไหวของฝ่ายชุมนุมจึงมีคนเข้าร่วมจำนวนมาก ส่วนหนึ่งคือการรับไม่ได้กับการถูกกระทำแบบเลือกปฏิบัติเช่นนี้ ทั้งที่มีข้อเรียกร้องที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนก็ตาม
อีกด้านเรื่องการนำเอาตู้คอนเทนเนอร์ไปปิดล้อมด้านหน้าของกระทรวงและส่วนราชการต่าง ๆ บริเวณถนนราชดำเนินนั้น ก็ถือเป็นการป้องกันที่เป็นเหมือนกงเกวียนกำเกวียน เพราะม็อบจัดตั้งชัตดาวน์ประเทศที่เรียกคณะเผด็จการคสช.ออกมานั้น เคยได้สร้างผลงานชิ้นโบว์ดำเอาไว้ จึงทำให้ฝ่ายความมั่นคงต่อวิธีการเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งเรื่องของการห่วงถูกบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเหตุการณ์เมื่อ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็เป็นบทพิสูจน์แล้วว่า ม็อบธรรมชาติและคนรุ่นใหม่ไม่ทำอะไรเบาปัญญาเหมือนพวกมีเส้นเด็ดขาด
จะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลาที่มีการชุมนุมมานับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมานั้น สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นจุดแข็งสำคัญของขบวนการคนหนุ่มสาวนั่นก็คือการไม่ปะทะ กรณีเหตุการณ์ที่หน้ารัฐสภานั้น เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับกันว่าเกินจะห้ามหรือทนไหว แต่สุดท้ายแกนนำและกลุ่มการ์ดก็สามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างให้เป็นไปตามครรลองได้ ผิดกับพวกม็อบมีเส้นที่ทำให้เป็นที่โจษจันขนาดกรวยยังเป็นของต้องห้าม ใครไปแตะถึงขั้นถูกทำร้ายปางตายมาแล้ว
กลายเป็นว่าภาพอดีตที่ตัวเองเคยใส่เกียร์ว่าง ปล่อยให้ม็อบมีเบื้องหลังกระทำต่อรัฐบาลจากการเลือกตั้งอย่างน่าสมเพชที่สุดนั้น กลับมาเป็นภาพหลอนต่อการสืบทอดอำนาจของตัวเอง ไม่ว่าจะมีใครถือหางอย่างไรก็ตาม แต่กรรมที่เคยกระทำไว้ในอดีตที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน มันย่อมเป็นทุกข์อยู่ในใจ วันนี้ไม่ต้องถามว่าจะลาออกหรือยุบสภาหรือไม่ ในเมื่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านสภาไปแล้ว และมีการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ชุดแรกแล้ว คนหัวหมอย่อมหาเหตุนำเรื่องนี้มาดิสเครดิตม็อบอย่างแน่นอน
ว่ากันด้วยเรื่องของมาตรา 112 ที่ถูกนำมาใช้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนี่เป็นสิ่งที่บอกมาตั้งนานแล้วว่า หากเห็นว่าการกระทำของแกนนำหรือแนวร่วมผู้ชุมนุมรายใด มีพฤติกรรมหรือการแสดงออกที่เข้าข่ายตามความผิดดังว่า ก็ให้ใช้กลไกของกฎหมายไปจัดการ แล้วไปสู้กันตามกระบวนการ ปลายทางศาลสถิตยุติธรรมจะเป็นผู้ชี้ขาดเองว่าสิ่งที่ฝ่ายมีอำนาจกล่าวหานั้นเป็นไปตามข้อกฎหมายหรือการใส่ร้ายให้เสียหายกันแน่
ขณะที่แกนนำทั้งหลายก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยี่หระต่อการถูกดำเนินคดี นั่นไม่ใช่เพราะท้าทายหรือไม่เกรงกลัวต่อข้อกฎหมาย แต่เชื่อมั่นว่าสิ่งที่นำเสนอนั้นไม่ได้เป็นการกระทำผิด ขณะเดียวกันหากเป็นม็อบจัดตั้งก็คงจะกลัวการที่แกนนำถูกจับเพราะจะสูญเสียการนำและทำให้แนวร่วมขวัญกระเจิง สำหรับคณะราษฎรนั้นถือเป็นข้อยกเว้น ดังที่จะเห็นได้จากการชุมนุมหลายครั้ง ไม่มีแกนนำหลักปราศรัย ไม่มีเวทีใหญ่โต แต่คนเข้าร่วมจำนวนมหาศาล
ภาระสำคัญของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ไม่ใช่อยู่ที่ว่าต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจและผลกระทบจากโควิด-19 เพราะตราบใดที่ยังไม่สามารถคลี่คลายวิกฤติจากการชุมนุมได้ ทุกอย่างก็ไม่มีความหมาย วาทกรรมที่สร้างขึ้นและผลิตซ้ำไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นหากขาดความจริงใจและการนำไปปฏิบัติ ที่คนโดยทั่วไปอยากเห็นและท่านผู้นำก็เคยเป็นคนพูดเองว่า จะตั้งเวทีรับฟังความเห็นของคนรุ่นใหม่ในเดือนสิงหาคมจะสิ้นปีอยู่แล้วยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่ก็คือภาพประจานการไม่รักษาสัญญาของคนเป็นผู้นำ
สิ่งหนึ่งที่อย่าคิดว่าคนไทยจะลืมก็คือ ท่วงทำนองของผู้นำเผด็จการตั้งแต่วันแรกที่ยึดอำนาจทั้งขอเวลาอีกไม่นาน และเราจะทำตามสัญญา ซึ่งผ่านการพิสูจน์แล้วว่าทำไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว มิหนำซ้ำ ยังมีพฤติกรรมที่สวนทางกับสิ่งที่ตัวเองได้ลั่นวาจาไว้เสียเอง การไม่มีสัจจะในหมู่โจรนั้นเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่ความเป็นชายชาติทหารที่ต้องรักในเกียรติยศและศักดิ์ศรี สิ่งไหนที่คิดว่าพูดแล้วทำไม่ได้ปล่อยให้ผ่านไปแล้ววางเฉยจะดีกว่า พอพ่นน้ำลายออกมาแล้วทำไม่ได้มันจึงย้อนกลับมาทำลายตัวเอง โดยที่ไม่ต้องอ้างเรื่องตัวบทกฎหมาย เพราะนี่คือเรื่องของกรรมที่ตัวเองก่อไว้ทั้งสิ้น