SAMART นอนคอลเซ็นเตอร์

เงียบหายจากจอเรดาร์นักลงทุนไปพักใหญ่ สำหรับหุ้นบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART อาจเป็นเพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวในเชิงธุรกิจสักเท่าไหร่...


สำนักข่าวรัชดา

เงียบหายจากจอเรดาร์นักลงทุนไปพักใหญ่ สำหรับหุ้นบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART อาจเป็นเพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวในเชิงธุรกิจสักเท่าไหร่…

ประกอบกับ ผลประกอบการก็ไม่ค่อยสดใส เพิ่งกลับมาเทิร์นอะราวด์เมื่อปีที่ผ่านมา หลังจากขาดทุนต่อเนื่องสองปีซ้อน ขณะที่สถานการณ์ปีนี้ส่อเค้าจะพลิกกลับไปขาดทุนอีกครั้ง หลังงวด 9 เดือนแรก มีตัวเลขขาดทุนปาไปแล้ว 220 ล้านบาท

ทำให้ความน่าสนใจของหุ้น SAMART ลดทอนลงไป…

แต่ล่าสุด SAMART กลับมาอยู่ในเป้าสายตานักลงทุนอีกครั้ง หลังบอร์ดมีมติให้ขายหุ้นบริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ OTO ที่บริษัทถือ 191.60 ล้านหุ้น และบริษัทลูก บริษัท สามารถวิศวกรรม จำกัด หรือ SE ถือ 2.10 ล้านหุ้น รวมทั้งสิ้น 193.70 ล้านหุ้น คิดเป็น 69.18% ให้กับนักลงทุน 3 ราย ได้แก่ บุญเอื้อ จิตรถนอม, สุทธิพจน์ อริยสุทธิวงศ์ และ ณัฐพงศ์ ศตวรรัตน์ ในราคาหุ้นละ 2.40 บาท มูลค่า 464.88 ล้านบาท

ก็น่าคิดว่า ทำไม SAMART ต้องขายหุ้น OTO ทิ้งล้างพอร์ต..? ทั้ง ๆ ที่ผลประกอบการของ OTO ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร มีกำไรต่อเนื่องทุกปี…

โดยปี 2559 มีกำไรสุทธิ 83 ล้านบาท จากรายได้รวม 968 ล้านบาท ปี 2560 มีกำไรสุทธิ 50 ล้านบาท จากรายได้รวม 826 ล้านบาท ปี 2561 มีกำไรสุทธิ 20 ล้านบาท จากรายได้รวม 718 ล้านบาท ปี 2562 มีกำไรสุทธิ 33 ล้านบาท จากรายได้รวม 790 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 2 ล้านบาท จากรายได้รวม 541 ล้านบาท

แถมปันผลก็ดี๊ดี…ปีหนึ่งจ่ายตั้งสองครั้ง ยีลด์ปาไป 3-5% ต่อปี

แหม๊…เป็นหุ้นปันผลงามซะขนาดนี้…ทำไม SAMART ไม่เก็บไว้น้อออ…

เหตุผลในการขาย อาจเป็นเพราะ 1) SAMART ต้องการปรับโครงสร้างธุรกิจ อันไหนที่ไม่ใช่คอร์บิสซิเนสก็ขายออกไป

2) ด้วยเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมากขึ้น บริษัทส่วนใหญ่ที่ต้องมีคอลเซ็นเตอร์น่าจะหันมาทำเอง ทำให้บริการคอลเซ็นเตอร์ของ OTO ต่อไปจะโตยากขึ้น…SAMART ก็เลยชิงขายซะก่อน…

เท่ากับว่า SAMART จะนอนคอลเซ็นเตอร์แล้วน่ะสิ..!!

และ 3) ต้องการแก้ปัญหาสภาพคล่อง ตุนหน้าตักไว้รับมือกับสถานการณ์ที่ไม่ปกติแบบนี้…ซึ่งการขายหุ้นครั้งนี้ SAMART จะฟันกำไรไป 271.18 ล้านบาท เนื่องจากมีต้นทุนหุ้น OTO เพียง 1.00 บาท (คำนวณจากราคาพาร์) ทำให้มีกำไรส่วนต่างจากราคาหุ้นครั้งนี้ 1.40 บาทต่อหุ้น

แม้จะให้ราคาดิสเคาต์ในกระดาน 42% เทียบกับราคาปิดที่ 4.20 บาท วันที่ 20 พ.ย. 2563 ก็ตาม

ไม่นับรวมจะได้เงินปันผลระหว่างกาลจาก OTO อีกหุ้นละ 0.80 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 154.96 ล้านบาทอีกนะเนี่ย…ถือเป็นการรีดก่อนจากนั่นเอง

ขณะที่ ถ้าไปดูโปรไฟล์ของ 3 คนที่เข้ามารับหุ้นต่อ ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพวกนี้เลย เท่าที่เห็นตามสื่อต่าง ๆ เป็นนักลงทุนขาใหญ่ อย่าง สุทธิพจน์ อริยสุทธิวงศ์ แม้จะทำธุรกิจ ก็เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ ส่วนอีกสองคนก็ถือหุ้นหลาย ๆ ตัว โดยเฉพาะหุ้นบริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ที่เป็นศูนย์รวมบุคคลที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนก่อนหน้านี้

ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าการเข้ามารับไม้ต่อจาก SAMART ครั้งนี้ แค่ขายฝากหรือเปล่านะ..?

แต่ที่แน่ ๆ ถ้าคิดจากราคาหุ้น OTO ในกระดานปิดที่ 4.96 บาท ณ วันที่ 25 พ.ย. 2563 ทั้ง 3 คนฟันส่วนต่างกำไรไปแล้ว 2.56 บาท

น่าอิจฉาเนอะ…

…อิ อิ อิ…

Back to top button