พาราสาวะถีอรชุน
ยังคงจับกุมตัวได้อย่างต่อเนื่องสำหรับผู้ต้องสงสัยพัวพันกับเหตุระเบิดแยกราชประสงค์และท่าเรือสะพานสาทร จากการขยายผลการจับกุมชายต่างชาติที่อพาร์ตเมนต์ย่านหนองจอก โดยล่าสุด เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวชายต้องสงสัยอีกหนึ่งรายจากด่านอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งคาดว่าจะเป็นชายชุดเหลืองในภาพวงจรปิดที่นำกระเป๋าไปวางไว้ภายในรั้วบริเวณศาลท้าวมหาพรหมก่อนเกิดระเบิด
ยังคงจับกุมตัวได้อย่างต่อเนื่องสำหรับผู้ต้องสงสัยพัวพันกับเหตุระเบิดแยกราชประสงค์และท่าเรือสะพานสาทร จากการขยายผลการจับกุมชายต่างชาติที่อพาร์ตเมนต์ย่านหนองจอก โดยล่าสุด เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวชายต้องสงสัยอีกหนึ่งรายจากด่านอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งคาดว่าจะเป็นชายชุดเหลืองในภาพวงจรปิดที่นำกระเป๋าไปวางไว้ภายในรั้วบริเวณศาลท้าวมหาพรหมก่อนเกิดระเบิด
แต่ข้อมูลของเจ้าหน้าที่ยังไม่ยืนยันถึงขนาดว่าเป็นคนคนเดียวกันหรือไม่ คงต้องรอกระบวนการสอบสวนซึ่งวันนี้น่าจะมีความคืบหน้าต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ชายที่ถูกจับกุมล่าสุดนั้น อย่างหนึ่งที่จะถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็วในโลกโซเชียลมีเดียคือ มีภาพใบหน้าชายที่ใส่หมวกพร้อมแว่นตาดำแบบเดียวกับชายที่ถูกจับกุม ถ่ายรูปคู่กับทักษิณ ชินวัตร ณ สถานที่แห่งหนึ่ง
แน่นอนว่า ฝ่ายไม่เอาระบอบทักษิณย่อมจะนำไปขยายผลเพื่อหาเหตุเชื่อมโยงให้ได้ แต่คงไม่มีอะไรในกอไผ่ เพราะต้องไม่ลืมว่าในโลกออนไลน์นั้นทุกอย่างสามารถตัดต่อเพื่อกล่าวหาใครต่อใครได้ง่ายนิดเดียว เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคงที่จะต้องอธิบายให้กับสังคมทราบด้วยความกระจ่างชัด ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้มีที่มาที่ไปอย่างไร เข้ามาทำอะไรในประเทศไทย
เริ่มมีการส่งสัญญาณเตือนแล้วว่า ระวังเรื่องที่จับกุมตัวกันนั้น หากเป็นเรื่องความแค้นส่วนตัวอันเนื่องมาจากผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวจากการค้ามนุษย์ เกรงว่าจะมีการเตรียมก่อเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดอีก ทั้งหมดนี้ฝ่ายความมั่นคงต้องเกาะติดข่าวอย่างใกล้ชิด ยิ่งเห็นรายชื่อคนที่ถูกออกหมายจับเพิ่มเติมล่าสุดระบุว่าเป็นชาวตุรกี ยิ่งต้องละเอียดอ่อนเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนหรือไม่
ออกมาเคลื่อนไหวอีกกระทอกสำหรับ สุเทพ เทือกสุบรรณ ในนามมูลนิธิมหาประชาชนฯโดยประกาศสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับดอกเตอร์ปื๊ดพร้อมยกมือเห็นดีเห็นงามกับการมีคณะกรรมการยุทธ์ศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติหรือคปป. เป็นจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อที่สปช.กำลังจะลงมติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นเรื่องไม่ธรรมดาแน่นอน
มองกันต่อไปว่านี่คือการส่งสัญญาณให้สปช.บางพวกได้ตัดสินใจว่าจะคว่ำร่างรัฐธรรมนูญในชั้นแรกนี้หรือไม่ด้วยเหตุผลมีแกนนำมวลมหาประชาชนมาประกาศหนุนร่าง ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดง จตุพร พรหมพันธุ์ ก็ประกาศชัดเจนพร้อมท้าทายให้สปช.ผ่านมาภาคประชาชนจะคว่ำเอง นั่นเป็นหนทางนำไปสู่ความขัดแย้งแน่นอนเป็นเหตุผลให้ต้องช่วยกันคว่ำ
แต่อีกมุมมองได้ว่า ท่วงทำนองของเทพเทือกเหมือนเป็นการส่งซิกให้สปช.ผ่านร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้เชื่อมั่นว่ามีมวลมหาประชาชนที่เตรียมจะไปลงประชามติให้ร่างผ่านความเห็นชอบได้ไม่ยาก แต่ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ คงไม่มีความหมายเพราะจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ“แป๊ะ” หลังจากเฝ้ามองและประเมินสถานการณ์จนถึงคืนวันที่ 5 กันยายนนี้
ส่วนที่หลายคนแปลกใจว่าเดิมทีมีกำหนดที่จะลงประชามติของสปช.ในวันที่ 7 กันยายน เหตุใดจึงร่นเวลามาเร็วและเป็นวันอาทิตย์ด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วสภาจะไม่ทำงานในวันหยุด ปรากฏว่ามีข่าววงในระบุ นั่นเป็นเพราะมีการไปดูฤกษ์งามยามดีแล้ว เห็นว่าถ้าลงมติในวันดังกล่าวจะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่ยงคงกระพัน สามารถขจัดปัญหาต่างๆ ได้ตามความต้องการของคสช.
ในมุมนี้ก็มีเสียงสนับสนุนว่ามีความเป็นไปได้สูง เพราะดอกเตอร์ปื๊ดนั้นเหมือนคนเล่นของ ถ้าจำกันได้ก่อนเริ่มทำหน้าที่พากันไปบนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทย แต่พอหลังจากนั้นก็พากันบินไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประเทศพม่า จะด้วยเหตุนี้หรือเปล่าไม่ทราบที่จะเป็นสาเหตุทำให้หน้าตาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ดูขี้เหร่ไม่สวยงามเหมือนอย่างที่คนยกร่างโอ้อวด
เช่นเดียวกันกับการตั้งข้อสังเกตของ โคทม อารียา ที่บอกว่าในช่วงเริ่มต้นของการยกร่างรัฐธรรมนูญ กฎหมายสูงสุดฉบับนี้เป็น“ฉบับสำลักคุณธรรม” แต่พอผ่านกระบวนการต่างๆ ผ่านไปจนเห็นร่างสุดท้ายกลายเป็นร่างรัฐธรรมนูญ “ฉบับจับประชาธิปไตยใส่กรง” ไปเสียฉิบ ไม่รู้ว่าไปได้อะไรดีมาจากประเทศพม่าหรือเปล่า
ขณะเดียวกันบวรศักดิ์คงต้องเลิกพูดถึงเจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่เคยคุยโขมง ว่าจะสร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่ การเมืองต้องใสสะอาด สังคมมีความเป็นธรรมและนำชาติสู่สันติสุข เห็นหน้าตาแล้วชัดเจนว่า นอกจากประชาชนจะไม่ได้ยกตัวเป็นพลเมืองแล้วยังถูกลิดรอนอำนาจไปด้วย โดยการมีคปป.ก็เท่ากับการยึดอำนาจอธิปไตยไปจากประชาชนนั่นเอง
ไม่ว่าจะอธิบายยังไงหน้าตาของคณะกรรมการชุดดังว่าก็ไม่ได้ต่างจากคณะปูลิตบูโรของระบอบคอมมิวนิสต์แม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้กระมังที่ วิษณุ เครืองาม ถึงว่ารู้ทั้งรู้คปป.มีข้อเสียแต่อธิบายไม่ได้ว่าเสียอย่างไร จาตุรนต์ ฉายแสง จึงตอกย้ำว่า กลัวพูดแล้วจะไปกันใหญ่ เดี๋ยวคนจะยิ่งไม่เอาด้วย แต่กลายเป็นว่าพูดแบบนี้คนเลยยิ่งไม่เอาด้วย
เท่ากับว่าหากสปช.ปล่อยผ่านแล้วไปทำประชามติ ก็มีโอกาสที่การลงประชามติจะเป็นการสูญเปล่าทั้งขึ้นทั้งล่อง เว้นแต่ว่าจะเปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี ซึ่งก็ไม่ใช่นโยบายของคสช. เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องถามใจคสช.และผู้มีหน้าที่ทั้งหลายว่า ต้องการอะไรกันแน่ และถ้ารู้แล้วว่าต้องการอะไรก็ขอให้กล้าๆ กันหน่อย ตัดสินใจไปเสียทางหนึ่ง
บทสรุปของจาตุรนต์ก็น่าจะเหมือนใครหลายๆ คนนั่นก็คือ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะทำให้บ้านเมืองเสียหายมากอย่างที่หลายฝ่ายคาดไม่ถึง และเมื่อผู้คนไม่ยอมรับมากขึ้นๆ คสช.เองนั่นแหละจะเดือดร้อน จะคว่ำก็ขอให้คว่ำด้วยเหตุด้วยผล ถ้าผ่านก็ขอให้พร้อมจะรับผลที่จะตามมา โดยเฉพาะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายต่อประเทศชาติที่จะเกิดขึ้นตามมา