หุ้นเดือน ธ.ค.และปี 64
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิด ณ สิ้นปี 2562 ปิดที่ระดับ 1,579.84
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิด ณ สิ้นปี 2562 ปิดที่ระดับ 1,579.84
ส่วนแนวโน้มสิ้นปี 2563 ดัชนีหุ้นไทย ดู ๆ ไปแล้ว ยังไม่น่าจะปิดหรือวิ่งขึ้นมาเหนือระดับดัชนีดังกล่าวได้
เพราะยังห่างกันกว่า 160 จุด
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคาดการณ์ดัชนีสิ้นปีนี้ไว้ที่ 1,450 จุด (บวก/ลบ นิดหน่อย)
ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ถูกมองว่า ยังเป็นทิศทางขาขึ้น จากสภาพคล่องส่วนเกินที่ล้นอยู่ในระบบ แรงซื้อจากต่างชาติยังคงไหลเข้าจนถึงกลางเดือนธันวาคมนี้
และอาจจะรวมถึงมีเม็ดเงินจากกองทุน SSF และ RMF เข้ามาเติมบ้างเล็กน้อย
แม้ว่าจะมีปัจจัยลบกดดันจากปัญหาโควิด-19 ที่อาจจะกลับมาระบาดรอบสองในประเทศไทย
แต่ก็ดูเหมือนนักลงทุนจะปรับลดน้ำหนักลงไป
อาจเพราะด้วยมีการประกาศก่อนหน้านี้แล้วว่า จะไม่มีการล็อกดาวน์แน่ ๆ และจะพยายามให้เศรษฐกิจในเซกเตอร์ต่าง ๆ ขับเคลื่อนต่อไป (แม้อาจจะสะดุดบ้างในบางพื้นที่)
อีกปัจจัยเกี่ยวกับเรื่องโควิด-19 คือ นักลงทุนอาจจะมั่นใจเรื่องของวัคซีนที่มีการทดลองได้ผล
และคาดว่าจะถูกนำมาใช้เร็วกว่าที่เคยกำหนดไว้
ล่าสุด บล.กสิกรไทย ประเมินดัชนีเดือนธันวาคม ว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,390-1,445 จุด
และมีปัจจัยที่ต้องติดตาม 3 เรื่อง
เริ่มจาก 1.การควบคุมสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ที่เชียงใหม่
2.การประชุม OPEC วันที่ 3 ธ.ค.นี้ หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ คือ ไม่ขยายเวลา 3-6 เดือน ทำให้คาดว่า Brent มีโอกาสเผชิญกับแรงขายทำกำไรบริเวณ 45 เหรียญต่อบาร์เรล บวก/ลบ
และ 3.การประชุมเฟดที่ตลาดคาดหวังถึงการออกมาตรการช่วยเหลือ
ประเด็นที่นักลงทุนสนใจ คือ ทิศทางในปี 2564 เป็นอย่างไรกันล่ะ?
นักวิเคราะห์ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market
เหตุผลคือ ได้ประโยชน์จากเงินดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลง
การพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 และสภาพการค้าโลกที่ดีขึ้น
ส่วน “ทองคำ” จะยังเผชิญกับแรงกดดันจากโอกาสที่เส้นโค้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตร หรือ yield curve อาจชันตัวขึ้น และอุปสงค์การลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัยน้อยลง
ค่ายรวงข้าวประเมิน ดัชนีเป้าหมายปีหน้าไว้ 1,520 จุด
แบ่งเป็น 7 กลุ่มการลงทุน เริ่มจากกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ แนะนำ KTB จาก Yield curve ที่ชันขึ้น คุณภาพสินเชื่อดีขึ้น และการที่แบงก์ชาติ อนุมัติให้กลุ่มธนาคารจ่ายเงินปันผลได้
กลุ่มการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจเช่าซื้อ NPL จะรายงานกำไรที่พื้นตัวขึ้น 110% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในปี 2564 จากการเรียกเก็บเงินสดที่ดีขึ้นและจากการขายทรัพย์สินขนาดกลางถึงใหญ่ หุ้นเด่น BAM
กลุ่มที่มีการประหยัดต้นทุน แนะนำ BDMS CPN และ MINT
ก่อนหน้านี้บริษัทเหล่านี้ได้ดำเนินมาตรการควบคุมต้นทุนภายในอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ SG&A ลดลง 20-50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาส 3/2563
กลุ่มที่อิงวัฏจักรโลก หุ้นเด่น PTTGC และ PSL
ปัจจัยจากความพร้อมของวัคซีนโควิด-19 จะหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โลกในปี 2564 ที่จะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นที่อิงวัฏจักรโลก (กลุ่มน้ำมันและก๊าซ กลุ่มโรงกลั่น กลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มขนส่ง)
กลุ่มพลังงานสะอาด แนะนำ GPSC คือหนึ่งในหุ้นเด่นสำหรับธีมนโยบายพลังงานสะอาดของไบเดน
GPSC กำลังเพิ่มสัดส่วนโครงการพลังงานทดแทนในต่างประเทศมากขึ้น หลังจากขายหุ้น 50% ใน GRP ให้กับ PTT เมื่อเดือนก่อน
โดย GRP มีเป้าหมายที่จะมีกำลังการผลิตประเภทพลังงานทดแทนที่ 8,000 MW ภายในปี 2573
กลุ่มที่อิงปัจจัยในต่างจังหวัด คาดว่ารายได้เกษตรกรจะฟื้นตัวขึ้นจากผลผลิตด้านการเกษตรที่ดีขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอ ซึ่งจะเป็นบวกต่อหุ้นที่อิงการบริโภคในต่างจังหวัดในระดับสูง หุ้นเด่น DOHOME
กลุ่มที่กันความเสี่ยงต่อ Yield curve ที่อาจชันตัวขึ้น มองว่าในระยะกลาง Yield curve อาจชันตัวขึ้นจากอุปทานพันธบัตรที่มีมากขึ้น หลังจากรัฐบาลมีโครงการการใช้จ่ายขนาดใหญ่ บวกกับสภาวะขาดแคลนรายได้ ซึ่ง Yield curve ที่ขันขึ้นจะเป็นบวกต่อ BLA จากรายได้การลงทุนที่จะสูงขึ้น
ขณะที่จะช่วยขจัดความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายการบันทึกกลับของสำรอง