TNP สดใส
แนวโน้มช่วงไตรมาส 4/63 ของ TNP มีโอกาสจะได้เห็นสถิติสูงสุดของปีซึ่งคาดว่าจะได้รับอานิสงส์ทั้งทางตรงและทางอ้อม จากการประเมินโดย บล.เคทีบี (ประเทศไทย)
คุณค่าบริษัท
มีการวิเคราะห์กันว่า บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP แนวโน้มช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 มีโอกาสจะได้เห็นสถิติสูงสุดของปีเลยทีเดียว เพราะได้รับอานิสงส์ทั้งทางตรงและทางอ้อม สำหรับการประเมินจาก บล.เคทีบี (ประเทศไทย) คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4 ปี 2563 อยู่ราว 32-35 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อน
ส่วนหนึ่งจากรายได้ที่คาดจะโตจากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ราว 580-640 ล้านบาท จากการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย สอดคล้องกับข้อมูลจากสมาพันธ์การท่องเที่ยวภาคเหนือ ระบุโครงการจ่ายคนละครึ่ง ทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยหันมาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เพิ่มขึ้น 40% จากไตรมาสก่อน
ขณะเดียวกัน มีการคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะยังรักษาระดับได้เหนือ 16% ของช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการปรับสัดส่วนการวางขายสินค้าที่มี margin สูงขึ้น
รวมถึงคาดจะเห็น SG&A ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากการเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 2 สาขา ซึ่งเปิดไปแล้ว 1 สาขา ในช่วง 30 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมา และในเดือน ธ.ค. 2563 อีก 1 สาขา ทำให้ทั้งปี 2563 มีสาขาทั้งหมด 32 สาขา
ดังนั้นทำให้มีการคาดกำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 127 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 43% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายหลังคลายล็อกดาวน์ ซึ่งจะช่วยให้การบริโภคภายในประเทศฟื้นตัวจากกำลังซื้อที่มากขึ้น รวมถึงรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาเป็น 32 สาขา จากเดิมปี 2562 ที่ 28 สาขา
นอกจากนี้ คงกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 146 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 15% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) จากการฟื้นตัวการบริโภค ซึ่งคาด Ticket size ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 330 บาท/bill (เพิ่มขึ้น 1.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) จากเดิมปี 2563 อยู่ที่ 326 บาท/bill และการขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก 5 สาขา/ปี ตามแผนการขยายสาขาของบริษัท และยังคงสามารถรักษาระดับ gross profit margin ที่ 16.2% เทียบเท่าปี 2563 และกำไรปี 2564 มี upside หากบริษัทนำสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่าย ซึ่งเป็นสินค้าที่มี margin สูง ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรกับ supplier
ขณะที่ ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 บริษัทมีรายได้จากการขายขยับขึ้นมาอยู่ที่ 518.58 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 473.72 ล้านบาท ทั้งนี้เกิดจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายส่วนใหญ่มาจากการขยายสาขาของบริษัท โดยยอดขายสาขาเดิมส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 30.02 ล้านบาท หรือ 0.038 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 19.39 ล้านบาท หรือ 0.024 บาทต่อหุ้น
ขณะเดียวกัน ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 บริษัทมีรายได้จากการขายขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,580.12 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,417.48 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 89.73 ล้านบาท หรือ 0.112 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 56.22 ล้านบาท หรือ 0.070 บาทต่อหุ้น ซึ่งภาพรวมการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิเกิดจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น
ผลดังกล่าวทำให้มองว่าผลการดำเนินงานบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังมีปัจจัยหนุนจากมาตรการภาครัฐออกมากระตุ้นการบริโภค ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก
ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.30 บาท
…
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
- นางอมร พุฒิพิริยะ 245,800,100 หุ้น 30.73%
- นายธวัชชัย พุฒิพิริยะ 245,000,000 หุ้น 30.63%
- นายธนภูมิ พุฒิพิริยะ 30,405,000 หุ้น 3.80%
- ด.ช.ธนภัทร พุฒิพิริยะ 30,000,000 หุ้น 3.75%
- นายธนะพงศ์ พุฒิพิริยะ 27,082,100 หุ้น 3.39%
รายชื่อกรรมการ
- นายพิษณุ ขันติพงษ์ ประธานกรรมการ, กรรมการอิสระ, ประธานกรรมการตรวจสอบ
- นายธวัชชัย พุฒิพิริยะ ประธานกรรมการบริหาร, กรรมการผู้จัดการ, กรรมการ
- นางอมร พุฒิพิริยะ กรรมการ
- นางจุฬารัตน์ งามเลิศลี้ กรรมการ
- น.ส.บุษกร ถัดทะพงษ์ กรรมการ