หุ้นน่าลุย Q1/64
เมื่อวานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลง 6.54 จุด ปิด 1,476.13 จุด และนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 2,956 ล้านบาท ไม่ได้อยู่นอกเหนือการคาดหมาย
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
เมื่อวานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลง 6.54 จุด ปิด 1,476.13 จุด และนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 2,956 ล้านบาท ไม่ได้อยู่นอกเหนือการคาดหมาย
เพราะก่อนหน้านี้ คาดกันไว้ล่วงหน้าแล้วว่านับจากวันที่ 14-15 ธ.ค.เป็นต้นไป
นักลงทุนต่างชาติน่าจะทยอยปรับลดพอร์ต ขายหุ้นออกมา
หรือเม็ดเงินที่เข้ามาจะชะลอตัวลงไปบ้าง จากช่วงเทศกาลคริสต์มาส
หลังจากนั้นจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงกลางเดือนม.ค. 65 เป็นต้นไปนั่นแหละ
แนวรับสำคัญคือ 1,470 จุด
อย่างวานนี้ลงไปต่ำสุด 1,471 จุด (ลดลง 11.11 จุด) แล้วไม่หลุด เกิดการเด้งกลับ ถือเป็นเซนติเมนต์ที่ค่อนข้างดี
บรรยากาศวันนี้ และตลอดเดือนธ.ค. 63 ก็น่าจะผันผวนไปแบบนี้
มูลค่าการซื้อขายอาจจะค่อย ๆ ปรับลดลงบ้างตามซีซั่น
เว้นแต่จะมีเม็ดเงินจากกองทุน SSF และ RMF เข้ามาบ้าง นิด ๆ หน่อย ๆ (หรืออาจจะมากก็ได้)
มีคำถามต่อว่า แล้วจะวางกลยุทธ์ลงทุนในปี 2564 ไว้อย่างไร
ประเด็นนี้มีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หลายแห่งเริ่มให้แนวทาง การวางกลยุทธ์กันบ้างแล้ว
เช่น ข้อมูลจากค่ายหลักทรัพย์บัวหลวง
มีการแนะนำ 5 กลยุทธ์การลงทุนระยะกลางสำหรับไตรมาส 1/64 ให้เข้าสะสมเต็มกำลังหุ้น top-picks จำนวน 12 หลักทรัพย์
ทั้ง 12 หลักทรัพย์ที่ว่านี้ ได้คาดการณ์ผลตอบแทนระหว่าง 15-28%
ประกอบด้วย AOT, AWC, BDMS, BH, CBG, CPALL, CPN, CRC, GLOBAL, LH, MINT และ TOA
สาเหตุที่ให้เก็บหุ้นขนาดใหญ่ เพราะ “ขนาด” (ของหุ้น) นั้นถือว่าสำคัญ
ในช่วง 3 เดือนข้างหน้า บัวหลวงเชื่อมั่นว่าหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่จะเป็น ผู้นำการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทย
หุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคมี 5 บริษัท ที่ประกอบด้วย AOT, CPALL, BDMS, CPN และ CRC มีมูลค่าตลาดติดอยู่ใน 15 อันดับแรกของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ใหญ่สุดใน SET50
จึงแนะนำนักลงทุนให้น้ำหนักเท่ากับ SET50 เป็นอย่างน้อยสำหรับหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ 2 บริษัท
นั่นคือ AOT และ CPALL
และยังแนะนำให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาด สำหรับหุ้น BDMS, CPN และ CRC
เหตุผลเพราะทั้ง 3 หุ้น เป็นผู้นำการปรับตัวขึ้นของกลุ่ม (กลุ่มการแพทย์, อสังหาฯ, และค้าปลีก)
มาถึงหุ้นผู้ชนะด้านเติบโตของกำไรในปี 2564
บัวหลวงคาดกำไรหลักที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอุปโภคบริโภคฟื้นตัวแข็งแกร่งในปี 2564 หลังจากอุปสงค์หยุดชะงักไปในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563
หุ้นที่ว่านี้ มีผลการดำเนินงานต่ำสุดในช่วงการปิดล็อกดาวน์ในไตรมาส 2/63
บรรดาหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ คือ CRC ที่เป็นผู้ชนะการเติบโตของกำไรในปี 2564
และขณะนี้ตลาดได้ปรับคาดการณ์กำไรเพิ่มขึ้น 620% พร้อมกับที่บัวหลวงคาดกำไรหลัก 473 ล้านบาทในปี 2563
และเพิ่มมาเป็น 6 พันล้านบาท ในปี 2564 ฟื้นตัวมาอยู่ระดับ 85% ก่อนช่วงโควิด-19 ในปี 2562
หุ้นอีกตัว คือ AWC และ MINT
ทั้ง 2 หุ้น จะเป็นผู้นำการฟื้นตัวของ “กลุ่มท่องเที่ยว”
หรืออาจเรียกผลการดำเนินงานฟื้นถึง 100% ในปี 2564 เมื่อเทียบจากจุดต่ำสุดที่ขาดทุนอย่างหนักในปี 2563
ในบรรดาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว AWC และ MINT มีศักยภาพสูงสุดครับ สำหรับการกลับมาอยู่ที่จุดคุ้มทุนหรือ “พลิกกลับมาเป็นกำไร” ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564
บัวหลวงยังคาดการณ์กระแสการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย
และไตรมาส 1/64 น่าไปสู่ปรากฏการณ์ January effect ที่แข็งแกร่ง
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน กลุ่มท่องเที่ยวได้รับผลกระทบเชิงลบมากที่สุดจากการที่นักลงทุนต่างชาติลดการลงทุนในกลุ่มนี้
มีข้อมูลที่น่าสนใจมาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลดครองการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติก่อนหน้านี้
LH และ BH เป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติขายออกไปมากที่สุด
การถือครอง LH ของนักลงทุนต่างชาติปรับตัวลงจาก 37.5% ณ สิ้นปี 61 มาอยู่ที่ 28.2% ในเดือนธ.ค. 63
และ BH ลดลงจาก 29.4% ณ สิ้นปี 61 มาอยู่ที่ 23.9%
ในส่วนของกลุ่มค้าปลีก การถือครองหุ้น CRC ของนักลงทุนต่างชาติปรับตัวลงมากสุดจาก 19.7% ในเดือนก.พ. 63 และมาอยู่ที่ 16.4% ในเดือนธ.ค. 63