เริ่มคลายล็อกกันได้แล้ว
นายกฯ หน้าบานเป็นกระด้งกับโครงการ “คนละครึ่ง” ที่ผ่านเฟส 2 ไปแล้ว และได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จากการให้ประชาชนไปซื้อของกับร้านค้าย่อย หาบเร่แผงลอยในราคาครึ่งหนึ่ง และรัฐสมทบให้ครึ่งหนึ่ง คนละ 3,500 บาท จำนวนทั้งสิ้น 15 ล้านคน
ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
นายกฯ หน้าบานเป็นกระด้งกับโครงการ “คนละครึ่ง” ที่ผ่านเฟส 2 ไปแล้ว และได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จากการให้ประชาชนไปซื้อของกับร้านค้าย่อย หาบเร่แผงลอยในราคาครึ่งหนึ่ง และรัฐสมทบให้ครึ่งหนึ่ง คนละ 3,500 บาท จำนวนทั้งสิ้น 15 ล้านคน
ประมาณการว่า รัฐต้องควักเงินงบประมาณจ่ายประมาณ 52,000 ล้านบาท แต่ก็ดูจะเป็นโครงการที่เข้าท่ากว่าโคตรอภิมหาประชานิยมใด ๆ ที่ผ่านมา ที่พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยก็ได้สดชื่นกับการค้าขายที่เพิ่มขึ้นด้วย แต่โมเดิร์น เทรดทั้งหลาย ก็ไม่พลาดจะรับอานิสงส์ร่วมไปด้วย เพราะพ่อค้ารายย่อยเข้ามาซื้อของไปขายต่ออีกที
แต่ก็นั่นแหละ ก็ต้องยอมรับกันว่า โครงการในลักษณะนี้ ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่มีลักษณะถาวร ธรรมชาติเหมาะจะเป็นโครงการเฉพาะกิจช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น และรัฐบาลก็ไม่มีเงินมากพอจะโปรยเงินได้ตลอดเวลาด้วย
การแก้ปัญหาที่จิรังแท้แน่นอน ก็คือ จะต้องมีนโยบายเศรษฐกิจที่ดี ไม่หลงทิศผิดทาง และไม่เอาเงินแผ่นดินไปละเลงกับโครงการใช้จ่ายที่ไร้ประโยชน์ อาทิ เอาเงินไปซื้อเรือดำน้ำ หรือโครงการสติเฟื่อง อย่างเช่นโครงการสร้างยานอวกาศไปดวงจันทร์ อย่างนี้เป็นต้น
ปัญหาก็คือ เริ่มจะมองเห็นนโยบายเศรษฐกิจที่ดีจากรัฐบาลกันหรือยังล่ะ
ก่อนอื่น ปัญหาหัวใจแก่นกลางเลยที่สุดในเวลานี้ ก็คือ การจะหาทางออกและปลดล็อกจากโควิดให้เร็วที่สุดได้อย่างไร
เราคงจะปลาบปลื้มกับความภาคภูมิใจที่ควบคุมโควิดได้อยู่หมัดมากเกินไปแล้วกระมัง จนมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมา หนักไปในทางการควบคุมมากกว่าการผ่อนคลาย ซึ่งเศรษฐกิจยิ่งจะจมลึกเข้าไปทุกวัน
ถ้าบทพิสูจน์ในอนาคตออกมาว่า โควิดก็แค่เชื้อโรคประจำถิ่น การแพร่ระบาดไม่รุนแรงมากนัก ในชาติอาเซียน 10 ประเทศ มีแค่ 3 ชาติเท่านั้นที่ระบาดรุนแรง ประเทศไทยมิเสียหายและเสียโอกาสไปฟรี ๆ ดอกหรือ
น่าสังเกตดูเถอะ สถิติผู้ตายจากเชื้อโควิดคนสุดท้ายเกิดขึ้นในเดือน 5 หรือเดือน 6 ที่ผ่านมานี้ จำนวนคนตายก็ยังยืนที่ 60 คนมาได้ 6-7 เดือนแล้ว ตัวเลขการติดเชื้อก็ไม่มาก ยังยืนอยู่ที่ 4,261 รายเท่านั้น นับแต่การติดเชื้อที่สนามมวยลุมพินี ก็ไม่ปรากฏอีกเลยว่า มีการติดเชื้อจากในประเทศ
ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดที่เพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า เพิ่มขึ้นมาจากผู้เดินทางจากต่างประเทศเข้ามา มิใช่เป็นการระบาดติดเชื้อในประเทศ
ก่อนอื่นก็ต้องทะลายกรอบความคิดกันก่อน คือ เลิกกลัวโควิดโดยใช่เหตุกันได้แล้ว! ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า จะ “ลดการ์ด” จนโล่งแจ้ง ไม่เหลือแนวป้องกันใด ๆ ไว้เลย
หน้ากากอนามัย ก็ยังต้องใส่ แอลกอฮอล์ ก็ยังต้องหมั่นเอามาล้างมือ เพราะสองสิ่งนี้ คนไทยคุ้นเคยปฏิบัติจนกลายเป็นวัฒนธรรมทั้งประเทศไปแล้ว และก็น่าจะพออนุมานได้ว่า นี่แหละคืออาวุธสำคัญที่ใช้ต่อกรกับโควิด ซึ่งคนตะวันตก “ดูเบา” 2 สิ่งนี้จนติดเชื้อล้มตายกันระนาว
ผ่อนคลายเถอะครับ ก่อนจะตายเพราะไม่มีจะกิน
วันนี้ ไม่ใช่จะคิดผ่อนคลายกันแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ยังคงคุมตัว 14 วัน แต่ผ่อนคลายให้ยืดวันพำนักในประเทศต่อไปได้อีก 15 วัน อย่างนี้ก็ไม่ได้คลี่คลายปัญหาอะไร
เหมือนคันหลัง แต่ดันไปเกาสะดือ
วันนี้ ควรจะคิดเรื่อง “ทราเวิล บับเบิล” คือการจับคู่กับประเทศที่ปลอดภัยจากเชื้อโควิดค่อนข้างมากแล้ว อย่างเช่นสาธารณรัฐประชาชนจีนขณะนี้ ก็ไม่ปรากฏข่าวการระบาดในมณฑลไหนอีกแล้ว
อะไรจะเกิดขึ้น! หากวันนี้ เราปล่อยให้คนจีนเข้ามาได้ ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวดตั้งแต่ใบปลอดจากต้นทาง การตรวจซ้ำที่สนามบิน และการอนุญาตเข้าเมืองที่มีระยะเวลาการตรวจ 2-3 วันครั้ง หากครบ 14 วันแล้วไม่มีอาการอะไร ก็ปล่อยให้เดินทางในราชอาณาจักรกันโดยสะดวก
แต่ไปไหนก็ต้องใช้แมสก์ ใช้เจลที่เป็นวัฒนธรรมคนไทยไปแล้วนะ
การคิดลดวันควบคุมตัวจาก 14 วันให้เหลือสัก 10 หรือ 7 วัน ก็เป็นสิ่งท้าทายน่าจะคิดกัน เพราะ “สเตท ควอรันทีน” 14 วัน ก็เป็นเพียงความเชื่อ ไม่มีบทพิสูจน์ทางการแพทย์มาเหมือนกัน
นี่ก็ยังไม่รู้เหมือนกันนะว่า รัฐบาลจะแก้เกมอย่างไร เพราะวัคซีนที่สั่งจองไว้ จะมาเอากลางปีหน้า ขณะที่ประเทศต่าง ๆ ฉีดวัคซีนไฟเซอร์กันโครมครามแล้ว