พาราสาวะถี
วันอาทิตย์นี้ได้รู้กันกับการเลือกตั้งสมาชิกและนายกอบจ.ทั่วประเทศ พวกใคร ฝ่ายไหน เข้าป้ายคว้าชัยมากกว่ากัน แม้ว่าพรรคสืบทอดอำนาจไม่ได้ส่งคนลงสมัคร ซึ่งพอจะเข้าใจได้ไม่ใช่เพราะกฎหมายห้าม หรือทำอะไรไม่ได้มาก แต่หากสวมสีเสื้อยี่ห้อลิ่วล้อเผด็จการลงสนามนาทีนี้มีโอกาสแพ้ราพณาสูร ดังนั้น จึงมีการแปลงร่างเป็นกลุ่มต่าง ๆ ลงสมัครในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมแล้ว นอมินีของขบวนการสืบทอดอำนาจน่าจะคว้าเก้าอี้ได้มากกว่าใครเพื่อน ตามมาด้วยพรรคเพื่อไทย
อรชุน
วันอาทิตย์นี้ได้รู้กันกับการเลือกตั้งสมาชิกและนายกอบจ.ทั่วประเทศ พวกใคร ฝ่ายไหน เข้าป้ายคว้าชัยมากกว่ากัน แม้ว่าพรรคสืบทอดอำนาจไม่ได้ส่งคนลงสมัคร ซึ่งพอจะเข้าใจได้ไม่ใช่เพราะกฎหมายห้าม หรือทำอะไรไม่ได้มาก แต่หากสวมสีเสื้อยี่ห้อลิ่วล้อเผด็จการลงสนามนาทีนี้มีโอกาสแพ้ราพณาสูร ดังนั้น จึงมีการแปลงร่างเป็นกลุ่มต่าง ๆ ลงสมัครในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมแล้ว นอมินีของขบวนการสืบทอดอำนาจน่าจะคว้าเก้าอี้ได้มากกว่าใครเพื่อน ตามมาด้วยพรรคเพื่อไทย
ที่บอกเช่นนี้ไม่ได้เป็นการปรามาสพรรคนายใหญ่ หากแต่ในสนามท้องถิ่นนั้นเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า ส่วนใหญ่จะวิ่งเข้าหาฝ่ายที่กุมอำนาจ เพราะสามารถเปลี่ยนเก้าอี้ให้เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวอันงดงามได้ โดยในส่วนที่เพื่อไทยซึ่งจะได้บทเป็นพระรองนั้น เป็นการใช้ฐานเสียงของจังหวัดที่มีส.ส.แทบจะยกจังหวัด เมื่อตัวแทนเหล่านั้นยังเหนียวแน่น ประกอบกับคนในพื้นที่ยังคงภักดีพร้อมที่จะเลือกสินค้ายี่ห้อนี้ จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้หลายพื้นที่อำนาจสืบทอดไม่กล้าไปตอแย
ส่วนน้องใหม่ไฟแรงอย่างคณะก้าวหน้า ถ้าเป็นการเลือกตั้งใหญ่ในนามพรรคก้าวไกลอาจจะประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม แต่พอเป็นสนามท้องถิ่นที่มีเจ้าของพื้นที่ขาใหญ่เจ้าประจำขวางทางอยู่นั้น โอกาสที่จะเจาะทะลวงเข้าไปนั้นถือเป็นเรื่องยาก แต่ในทางการเมืองที่สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวในแง่ของการสร้างฐานมวลชนเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลสืบทอดอำนาจ การเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นแค่เป้าหลอกเท่านั้น ผลของชัยชนะจากการเลือกตั้งหากมีพื้นที่ไหนเข้าวินขึ้นมาก็ถือเป็นผลพลอยได้
ในแวดวงคอการเมือง ต่างมองกันว่าสิ่งที่ระดับนำของคณะก้าวหน้าไปปูพื้นสร้างความรู้แก่กลุ่มเป้าหมายในท้องถิ่นนั้น ไม่ใช่เพื่อหวังผลจากการเลือกตั้ง หากแต่เป็นการสร้างมวลชนที่มีความคิดและความเชื่อต่อกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยในรูปแบบที่คนเหล่านี้คิดว่าต้องปราศจากการครอบงำ หรืออาจจะบอกได้ว่าเป็นทิศทางเดียวกันกับสิ่งที่คณะราษฎรเคลื่อนไหวอยู่ในเวลานี้นี่เอง นั่นจึงเท่ากับว่า จำนวนคณะเสียงที่ได้ในแต่ละจังหวัดของคณะก้าวหน้า จึงหมายถึงการผลิดอกออกผลของการปลูกแนวคิดสร้างมวลชน
สิ่งที่สัมผัสได้จากปฏิกิริยาของแกนนำคณะราษฎรในระยะหลัง จะเน้นย้ำพูดกันถึงประเด็นที่ว่ากระบวนการต่อสู้ไม่ใช่เร่งให้จบภายในวันนี้พรุ่งนี้ หากแต่ยังต้องต่อสู้กันอีกยาวไกล ดังนั้น ในแง่ของการเคลื่อนไหวในนามม็อบคนเหล่านี้ก็ขยับกันไป ในส่วนของการให้ความรู้และสร้างแนวร่วมเป็นสิ่งที่คณะก้าวหน้าดำเนินการกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่ทุกอย่างมันปะเหมาะพอดี หากยืมเอายุทธวิธีของม็อบชัตดาวน์ประเทศมาใช้คือ เมื่อเป่านกหวีดเมื่อไหร่คนเหล่านั้นก็พร้อมที่จะปรากฏตัวทันที
นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่เราจะได้เห็นในบางจังหวัดมีการเกณฑ์คนไปต่อต้าน ขับไล่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล และ พรรณิการ์ วาณิช เพราะในพื้นที่ต่างรู้กันดีว่าการเข้าไปในนามผู้ช่วยหาเสียงของแกนนำคณะก้าวหน้านั้น เป็นการไปพูดในสิ่งที่สวนทางกับความเชื่อและความคิดของคนที่ถูกปลูกฝังกันมาอย่างยาวนาน หรือพวกที่เลือกข้างและมีอคติอย่างชัดเจน จึงเกิดขบวนการของการต่อต้านคณะก้าวหน้าอย่างที่ปรากฏเป็นข่าว
ขณะเดียวกัน ชะตากรรมของธนาธรและคณะ ไม่ว่าผลของการเลือกตั้งท้องถิ่นจะออกมาอย่างไร ยังต้องเผชิญกับการตรวจสอบขององค์กรอย่างกกต. ที่รับเรื่องร้องเรียนและตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนปมที่มีการร้องว่าคณะก้าวหน้าทำกิจกรรมเสมือนพรรคการเมือง ซึ่งหากชี้ว่าผิด คนเหล่านี้ก็จะถูกประหารชีวิตซ้ำสอง หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิทางการเมืองไปแล้วก่อนหน้า และนั่นก็จะเป็นจุดชี้วัดสถานการณ์ทางการเมืองอีกกระทอก
มวลชนที่ได้ไปสร้างฐานไว้อาจจะใช้เป็นจังหวะในการเคลื่อนไหว ล้อไปกับคณะราษฎรในกรุงเทพฯ หรืออาจจะเกิดการไหลมารวมกันเป็นม็อบขนาดใหญ่ จากสถานการณ์แรงกดดันที่ผ่านมาในช่วงแค่ไม่กี่เดือน ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจย่อมมีบทเรียน ในยุคโซเชียลมีเดียอย่าคิดว่าจะสามารถสกัดกั้นขบวนการที่จุดติดได้แล้วเหมือนในอดีต นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ยังต้องคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ ด้วยข้อแก้ตัวง่าย ๆ ใช้คุมโควิดไม่ใช่ไว้สู้ม็อบ
ไม่ได้มีเพียงคณะก้าวหน้าเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับการตรวจสอบของกกต. เพื่อไทยก็ไม่ได้น้อยหน้ากัน กับการที่ถูกยื่นให้ตรวจสอบปมถูกครอบงำจากบุคคลที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงใหม่ ที่ ทักษิณ ชินวัตร ได้แสดงตัวสนับสนุนพร้อมขอคะแนนเสียงจากคนเชียงใหม่ให้กับผู้สมัครของพรรคนายใหญ่ และไม่ใช่แค่หนเดียว หากแต่ออกมาเคลื่อนไหวถี่ยิบ จากที่คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรกลายเป็นโจทย์ยากสำหรับ 7 แมวกกต.ขึ้นมาในทันที
หากมีบทสรุปว่าสิ่งที่อดีตนายกฯ คนแดนไกลได้แสดงออกมานั้นเป็นความเห็นส่วนตัว และขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนเชียงใหม่ เพราะการสนับสนุนใครที่เป็นผู้สมัครถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล ก็ต้องตอบคำถามบรรดากองแช่งทั้งหลาย เมื่อผู้สมัครมีพรรคสังกัดจะถือว่าเป็นการครอบงำ ชี้นำหรือไม่ ยังไม่นับรวมเรื่องของสารที่สื่อถึงคนที่ออกจากพรรคไปแล้วโจมตีพรรคเพื่อไทย ที่ในทางพฤตินัยก็ต้องบอกว่าสิ่งที่นายใหญ่แสดงออกนั้นมันก้ำกึ่งที่ส่งผลให้มีแนวโน้มไปในทิศทางจะถูกเชือดได้
เป็นปมปัญหาที่ต้องรอวัดใจกกต. แต่อีกด้านการประสานรอยร้าวภายในพรรคก็เป็นความจำเป็นเร่งด่วน ทว่าการออกมาเคลื่อนไหวของนายใหญ่นั้น ก็ทำให้คนที่ยังคงร่วมหัวจมท้ายกับพรรคใจชื้นขึ้นมาบ้าง เพราะนี่ถือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า ผู้ที่เคยเป็นคนคิดให้เพื่อไทยทำ ยังไม่ได้หลบลี้หนีหายไปไหน ยังสู้และพร้อมที่จะทุ่มเทเพื่อให้พรรคการเมืองแห่งนี้กลับมายึดหัวหาดการเป็นผู้นำในการบริหารประเทศอีกคำรบ เพียงแต่ว่าการต่อสู้บนเส้นทางที่ถูกขีดไว้ด้วยเล่ห์กลของขบวนการสืบทอดอำนาจ มันอาจต้องใช้เวลานานกว่าปกติหรือไม่ก็รอให้เกิดการสะดุดขาตัวเอง ซึ่งในทางการเมืองมันมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา