สถานการณ์ปกติพลวัต2015
ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งไกวในลักษณะไซด์เวย์ขาขึ้น หลังจากร่วงแรงไปเกือบหลุด 1,300 จุดเมื่อสัปดาห์ก่อน มายืนเหนือ 1,380 จุดเมื่อวานนี้ แต่โอกาสที่จะทะลุ 1,400 จุดในสัปดาห์นี้ คงไม่ง่ายดาย เพราะวันนี้ก็เป็นวันศุกร์อีกแล้ว ต้องรอสัปดาห์หน้า
ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งไกวในลักษณะไซด์เวย์ขาขึ้น หลังจากร่วงแรงไปเกือบหลุด 1,300 จุดเมื่อสัปดาห์ก่อน มายืนเหนือ 1,380 จุดเมื่อวานนี้ แต่โอกาสที่จะทะลุ 1,400 จุดในสัปดาห์นี้ คงไม่ง่ายดาย เพราะวันนี้ก็เป็นวันศุกร์อีกแล้ว ต้องรอสัปดาห์หน้า
นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่มีประสบการณ์ส่วนใหญ่รู้ดีว่า วันศุกร์คือวันอันตรายของการลงทุน เพราะคาดเดาทิศทางในภาคบ่ายได้ยาก เนื่องจากกว่าตลาดสหรัฐฯจะเปิดก็หลังจากตลาดหุ้นไทยปิดทำการไปแล้ว หากว่าเกิดข่าวดี หรือข่าวร้ายมากกว่าปกติเกิดขึ้นในคืนวันศุกร์ (ตามเวลาไทย) กว่าจะถึงวันจันทร์ก็สายเกินแก้ไปเสียแล้ว
การมีเงินสดเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้บางส่วน จึงเป็นการสร้าง “ช่องว่างของความปลอดภัย” (margin of safety) ตามตำราของเบนจามิน แกรห์มอย่างเคร่งครัด
สัปดาห์ที่ผ่านมา ถือว่า ทีมเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นในการลงทุนให้กลับมาได้อย่างค่อนข้างโดดเด่นมากเป็นพิเศษ ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ พร้อมกับการสื่อสารที่ทำให้เกิดความหวังว่า กลไกเศรษฐกิจจะเกิดการฟื้นตัวคึกคักระลอกใหม่
ปัญหาของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลเดิมที่สำคัญสุดคือ กรอบนโยบายที่มีลักษณะ “ตั้งรับ” อย่างผิดกาลเทศะ ทำให้บรรยากาศการลงทุนสิ้นหวังรุนแรงจนยากที่จะสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า มีความหวังหรือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์มากน้อยเพียงใด การพลิกมุมมองใหม่ของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ จึงทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปเหมือนพลิกฝ่ามือ
รัฐมนตรีคลัง อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ผู้ช่ำชองกับการเทิร์นอะราวด์ธุรกิจธนาคารที่ย่ำแย่ให้กลับมาฟื้นตัวโดดเด่นมีคำอธิบายที่ชัดเจนและแหลมคมยิ่งนัก ในกรณีของความเชื่อมั่นว่า การที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยในเดือนสิงหาคม ที่ปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 15 ปี เกิดจากสาเหตุที่เกิดช่องว่างระหว่างความคาดหวังที่ประชาชน และภาคธุรกิจมีต่อการดำเนินนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ แต่เม็ดเงินการลงทุนไม่กระจายลงสู่ระบบอย่างรวดเร็วตามที่คาดการณ์ไว้ สิ่งที่ทีมงานชุดใหม่จึงมุ่งเน้นการกระจายการลงทุนขนาดเล็ก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมา เนื่องจากโครงการเหล่านี้จะสามารถกระจายเม็ดเงินลงสู่ระบบได้อย่างรวดเร็ว
การ “เกาถูกที่คัน” ของรัฐบาล ถือว่าฉายภาพถึงความเข้าใจต่อปัญหาได้ชัดเจน และไม่แปลกใจที่บรรยากาศที่ดีเช่นนี้ จะทำให้สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยสงบและเข้าสู่ภาวะการแปรปรวนที่เป็นปกติได้รวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นการกลับมาในตลาดหุ้นไทยระลอกใหม่ของนักลงทุนต่างชาติที่เร็วกว่านักวิเคราะห์เคยคาดเดา
อันว่าความปกติของตลาดหุ้นไทยนั้น ไม่ได้หมายความถึงตลาดที่แน่นิ่ง แต่หมายความถึงการแปรผันของราคาหุ้น และดัชนีตลาดสำคัญ เกิดจากสตอรี่หรือผลประกอบการหรือแผนธุรกิจ หรือวิศวกรรมการเงินของบริษัทเป็นสำคัญ ไม่ได้ไหวหวั่นเพราะปัจจัยภายนอก
ตลาดที่ปกตินี้ สัญญาณทางเทคนิคของทั้งราคาหุ้นและดัชนีของตลาด จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคาดเดาได้สะดวก เพราะอุปสงค์และอุปทานของตลาดจะไม่พะวงกับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ต่างจากช่วงเวลาของความแปรปรวนที่สัญญาณทางเทคนิคจะล้มเหลวในการปฏิบัติภารกิจ
เมื่อตลาดกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ก็น่าจะเป็นโอกาสอันดีของบรรดาบริษัทที่คิดจะแต่งตัวเพื่อเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียน เพื่อหวังระดมทุนในตลาด เอาเงินของผู้ถือหุ้นไปขยายกิจการให้เติบใหญ่
ที่ผ่านมาในรอบ 2 เดือนนี้ เราจะเห็นได้ว่า มีหลายบริษัทที่ยื่นไฟลิ่งต่อก.ล.ต.เรียบร้อยแล้ว หรือผ่านการอนุมัติแล้ว เมื่อเห็นบรรยากาศที่ไม่เอื้ออำนวย คาดว่าจะไม่สามารถขายหุ้นในราคาที่ตนเองต้องการได้ จึงประกาศขอเลื่อนการขายหุ้นในตลาดแรกหรือ IPO ออกไปไม่มีกำหนด ซึ่งถือว่าเป็นเพราะเกิดอาการใจฝ่อที่น่าเสียดาย เพราะถือเป็นการ “เสียของ” โดยไม่จำเป็น เนื่องจากทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสแพงขึ้น
ต้นทุนค่าเสียโอกาส แม้จะไม่มีตัวเลขที่ประเมินได้ชัดเจน แต่เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับโอกาสที่บริษัทอื่นๆ ได้รับจากการขายหุ้น IPO ในตลาดแรก และความสำเร็จเมื่อเข้าเทรดในตลาดรอง เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ชัด
โดยข้อเท็จจริง จะเห็นได้ชัดว่าแม้ปีนี้ จะเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับตลาดหุ้น เพราะดัชนีที่เคยสูงสุดในต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ระดับเหนือ 1,600 จุด ได้ร่วงลงจนถึงต้นสัปดาห์ก่อนที่ระดับ 1,310 จุด หรือประมาณ 35% อาจจะเป็นบรรยากาศที่ย่ำแย่ แต่หุ้นบริษัทที่เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ล้วนประสบความสำเร็จด้วยดี ยกเว้นบางบริษัท ในช่วงของไตรมาสที่สองเท่านั้นเองที่ดูจะมีความล้มเหลวอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
ความล้มเหลวของหุ้นจองหรือIPO ของบางบริษัทที่มีไม่กี่ราย ไม่ใช่เพราะความผิดของตลาด แต่เป็นเพราะผู้ถือหุ้นใหญ่ ผู้บริหาร ที่ปรึกษาการเงิน และอันเดอร์ไรเตอร์ ที่สุมหัวกันตั้งราคาขายหุ้นจองในตลาดแรกแพงเกินด้วยไม่รู้จักประมาณเป็นสำคัญ
หุ้นที่มีผลการดำเนินงานดีอย่าง JSP หรือ PLAT หรือ GPSC มาจากความมั่นใจเกินเหตุของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งราคาขายหุ้นจองทั้งสิ้น จนเกิดอาการหลุดจอง ซึ่งจะโทษใครอื่นคงไม่ได้
ส่วนหุ้นเข้าเทรดใหม่อื่นๆ นั้น ประสบความสำเร็จด้วยดี สามารถเข้าเทรดวันแรกด้วยราคาเปิดที่ดี และปิดวันแรกที่ดีเช่นกัน โอกาสหลุดจองมีน้อยมาก เพราะตั้งราคาสมเหตุสมผล และรู้จักการกระจายความมั่งคั่งทั้งบริษัท ที่ปรึกษาการเงิน อันเดอร์ไรเตอร์ และผู้ถือหุ้นอย่างมีดุลยภาพ
จากนี้ไป สถานการณ์ปกติที่กลับคืนมา น่าจะทำให้ยอดรายชื่อบริษัทระดมทุนขายหุ้นจองใหม่ๆ เข้ามาในตลาดคึกคักขึ้น ส่วนจะเป็นยุคทองใหม่ของหุ้นจองอีกครั้งหรือไม่ ขึ้นกับการตั้งราคา และการควบคุมความโลภของผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นสำคัญ