พาราสาวะถี

สถานการณ์โควิด-19 ที่เป็นไปไม่ต้องถามว่าใครสมควรรับผิดชอบแบบเต็ม ๆ เมื่อไม่สามารถจะแอ่นอกแสดงความรับผิดได้จากการปล่อยให้มีแรงงานลักลอบผิดกฎหมาย และบ่อนพนันเป็นตัวแพร่เชื้อที่กำลังระบาดอย่างหนัก ทั้งที่ตัวเองเป็นผู้กำกับดูแลทั้งสองส่วนงานดังว่า ยังสะท้อนสิ่งที่เรียกว่าวิสัยทัศน์และศักยภาพในการบริหารความเสี่ยงของคนที่เป็นผู้นำประเทศได้เป็นอย่างดี เมื่อทำได้แค่นี้และยังไม่รับผิดชอบอีก สิ่งที่จะแก้ตัวได้หลังการระบาดก็คือการทุ่มเม็ดเงินไปที่การซื้อวัคซีนป้องกัน


อรชุน

สถานการณ์โควิด-19 ที่เป็นไปไม่ต้องถามว่าใครสมควรรับผิดชอบแบบเต็ม ๆ เมื่อไม่สามารถจะแอ่นอกแสดงความรับผิดได้จากการปล่อยให้มีแรงงานลักลอบผิดกฎหมาย และบ่อนพนันเป็นตัวแพร่เชื้อที่กำลังระบาดอย่างหนัก ทั้งที่ตัวเองเป็นผู้กำกับดูแลทั้งสองส่วนงานดังว่า ยังสะท้อนสิ่งที่เรียกว่าวิสัยทัศน์และศักยภาพในการบริหารความเสี่ยงของคนที่เป็นผู้นำประเทศได้เป็นอย่างดี เมื่อทำได้แค่นี้และยังไม่รับผิดชอบอีก สิ่งที่จะแก้ตัวได้หลังการระบาดก็คือการทุ่มเม็ดเงินไปที่การซื้อวัคซีนป้องกัน

ถามว่าดีไหม ไม่มีใครปฏิเสธ แต่ถามต่อว่าช้าไปหรือเปล่า ก็ต้องยืนยันกันตรงนี้ว่า ช้ามาก เพราะในอาเซียนสิงคโปร์เริ่มฉีดให้กับประชาชนไปแล้วหลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ก็กำลังจะได้รับวัคซีนแล้วเริ่มฉีดให้ประชาชน โดยที่ประเทศเหล่านั้นไม่ได้จำกัดว่าจะต้องรอวัคซีนจากบริษัทเดียวเหมือนอย่างที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและขบวนการไร้วิสัยทัศน์ทำอยู่ การเปิดรับวัคซีนหลายช่องทางของประเทศเพื่อนบ้านก็เพื่อที่จะสร้างโอกาสในการเข้าถึงและสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน

ไม่ต้องอ้างว่า การที่มีความสัมพันธ์กับเจ้าเดียวและต้องรอก็เพื่อประสิทธิภาพและการได้รับความรู้เพื่อมาผลิตเอง อันจะทำให้ได้วัคซีนที่ครอบคลุมกับประชากรทั้งประเทศ แต่มันช้ามากหากคุมสถานการณ์ได้ก่อนที่ฝีจะแตกก็ว่าไปอย่าง พอเหตุการณ์พลิกผันแล้วทำท่าว่าจะคุมยาก การตาลีตาเหลือกเปิดรับวัคซีนเจ้าอื่น สิ่งที่ตามมาคือจะทันประเทศทั้งหลายในโลกนี้ที่ก็ต้องการวัคซีนเหมือนกันหรือเปล่า แล้วประเทศไทยต้องไปเข้าแถวรอลำดับที่เท่าไหร่

การอ้างว่าส่วนที่รัฐบาลจองไว้ก็จะได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม พอถึงเวลานั้นอยากรู้เหมือนกันว่าจะมีผู้ติดเชื้อทะลุไปที่จำนวนเท่าไหร่แล้ว ขณะเดียวกันที่เปิดช่องทางให้รับวัคซีนจากส่วนอื่นได้โดยให้ภาคเอกชนดำเนินการนั้น นี่ย่อมหนีไม่พ้นการถูกโจมตีอีกว่า สุดท้าย ก็เป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำ ผู้ที่มีโอกาสจะเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคร้ายที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรุนแรง ต้องเป็นผู้ที่มีฐานะเท่านั้น นี่คือการแก้ปัญหาแบบมักง่าย

ความจริงแล้ว วัคซีนโควิด-19 ไม่จำเป็นต้องรอแค่บริษัทเดียวโดยอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของประชาชน เพราะสุดท้ายไม่ว่าเจ้าใดก็ตามที่ประเทศไทยจะรับเข้ามาต้องผ่านการรับรองคุณภาพและความปลอดภัยโดยองค์กรระหว่างประเทศ และอย.ของไทยอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ว่าจะใช้เหตุผลใดมาอธิบายก็มองไม่เห็นว่าเป็นข้อแก้ตัวที่ฟังขึ้น มิหนำซ้ำ เมื่อมองไปยังเส้นทางการจะเข้ามาของวัคซีนเจ้าที่รัฐบาลจองไว้ ปลายทางจะถูกวิจารณ์เรื่องของบริษัทที่จะมาผลิตในประเทศไทยอีก ทั้งที่มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น

เมื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และรัฐบาลกำลังจะใช้เรื่องวัคซีนมาเป็นข้อแก้ตัวในความผิดพลาดของการป้องกัน คำถามที่จะตามมาอีกเมื่อได้รับวัคซีนแล้วก็คือ การจัดลำดับของผู้ที่จะได้รับการฉีดจัดวางกันไว้อย่างไร บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีความเสี่ยงต้องได้รับก่อนตรงนั้นไม่มีปัญหา แต่กรณีของภาคประชาชนต้องเคลียร์กันให้ชัดก่อนที่วัคซีนจะมาถึง กลุ่มเสี่ยงในความหมายคือใครบ้างและจัดสัดส่วนในแต่ละภูมิภาคอย่างไร

ประเด็นอ่อนไหวเช่นนี้ หากเกิดมีกรณีคนใกล้ชิดหรือบริวารว่านเครือในเครือข่ายขบวนการสืบทอดอำนาจ บรรดาลูกท่านหลานเธอทั้งหลายได้รับวัคซีนก่อนใครเพื่อน มันก็จะกลายเป็นจุดเปราะบางที่ทำให้เกิดปัญหาตามมาอีก ต้องยอมรับความจริงกันว่าการระบาดรอบนี้ของโควิด-19 ได้ทำลายความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อฝ่ายกุมอำนาจไปแทบไม่เหลือ ดังนั้น เรื่องการขอความร่วมมือในแง่การป้องกันไม่ต้องร้องขอต้องมีอยู่แล้วเพราะทุกคนห่วงตัวเองและครอบครัว

แต่กรณีที่จะขอความเห็นใจในการจัดลำดับการฉีดวัคซีนแล้วเกิดเหตุการณ์คนมีเส้นสายเกิดขึ้นนั้น เชื่อได้เลยว่า ประชาชนจะไม่ให้ความร่วมมืออย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเครื่องมือหรือลูกเล่นที่รัฐบาลจะนำมาใช้เมื่อลดทอนความไม่พอใจของประชาชนต่อการระบาดในระลอกสอง ทว่ายังมีสิ่งที่ต้องขบคิดมากไปกว่านั้นคือ มาตรการเยียวยาประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบกันไปทุกภาคส่วน แม้ไม่มีการล็อกดาวน์เพื่อเลี่ยงบาลีตรงนี้ ท้ายที่สุดมันก็หนีที่จะช่วยเหลือผู้เดือดร้อนไม่ได้

การที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแถลงหลังประชุมครม.ว่าสั่งการให้ทีมเศรษฐกิจไปหามาตรการเยียวยาช่วยเหลือประชาชน พร้อมยืนยันรัฐบาลมีเงินเพียงพอนั้น เพื่อเป็นการลดกระแสที่จะตามมาจากข้อเรียกร้องของประชาชนและทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ยิ่งการกลับมาระบาดเกิดจากความผิดพลาด บกพร่องของฝ่ายรัฐบาลอย่างแท้จริง การเยียวยาจึงเป็นสิ่งที่จะปฏิเสธไม่ได้ แต่โจทย์ใหญ่ก็คือมีวิธีคิดและบริหารจัดการนอกเหนือจากสารพัดโครงการแจกที่ทำมาก่อนหน้าอย่างไร

เห็นได้ชัดว่ามาตรการเยียวยาและฟื้นฟูจากการระบาดรอบแรกผ่านเงินกู้ 1 ล้านล้านบาทและ 9 แสนล้านบาทภายใต้การบริหารจัดการของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ยังไม่มีอะไรที่สัมผัสจับต้องได้ คนที่เดือดร้อนทำได้แค่ประคองตัวกันโดยหวังว่าสถานการณ์มันจะดีขึ้น พอมาเกิดเหตุซ้ำและหนักข้อกว่าเดิม ผู้ประกอบการหลายรายได้ยกธงขาวยอมแพ้กันไปแล้ว แต่ภาระและความเดือดร้อนของคนเหล่านั้นก็ยังคงมีอยู่ต่อไป และหากปล่อยไว้มันจะกลายเป็นความรู้สึกที่ทับถมและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

ในทางการเมืองตั้งแต่อดีตสิ่งที่ฝ่ายกุมอำนาจเกรงกลัวมากที่สุดไม่ใช่ม็อบทางการเมือง แต่เป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มความเดือดร้อนต่าง ๆ นี่คืองานใหญ่และท้าทายกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะต่อการระบาดของโควิด-19 ระลอกสองนี้ หาเงินให้ได้ก่อนและต้องมากพอ วางแผนการช่วยเหลือให้ครอบคลุม ทั่วถึง ให้เหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุด ปัจจัยสำคัญต่อเสถียรภาพของรัฐบาลก็คือ ประชาชนอยู่ได้ผู้มีอำนาจไปต่อได้ ประชาชนลำบากผู้มีอำนาจก็อยู่ยากเหมือนกัน

Back to top button