ดอกเบี้ยลง หนุนดัชนี
ปี 2564 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีประชุมนัดแรก 3 ก.พ.นี้
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
ปี 2564 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีประชุมนัดแรก 3 ก.พ.นี้
บรรดานักวิจัย นักวิเคราะห์จากหลายสำนักธุรกิจเริ่มออกมาคาดการณ์ผลการประชุมกันแล้วล่ะ
เสียงที่ออกมาเริ่มมองกันว่า โอกาส กนง.จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอีกนั้น
เริ่มที่จะมีเปอร์เซ็นต์มากขึ้น
ย้อนกลับไปที่การประชุมกนง.ก่อนหน้านี้
กนง.ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งล่าสุดเมื่อ 20 พ.ค. 63
ในครั้งนั้น เป็นการปรับลดดอกเบี้ยลงมา 0.25% หรือจาก 0.75% ลงมาเหลือ 0.50% ด้วยมติ 4 ต่อ 3 เสียง ซึ่งเป็นเสียงที่ “ไม่เป็นเอกฉันท์” และถือเป็นดอกเบี้ยนโยบายต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
หลังจากนั้น กนง.ได้ประชุมอีกทั้งหมด 5 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี 2563
และ 5 ครั้งที่ว่านี้ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยทุกครั้ง และเสียงเป็นแบบ “เอกฉันท์” ด้วย
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เคยบอกว่า การขับเคลื่อนหรือรับมือกับภาวะเศรษฐกิจ จำเป็นต้องใช้นโยบายด้าน “การเงิน” กับ “การคลัง” ควบคู่กัน
การส่งสัญญาณดังกล่าว เสมือนมีนัยว่า ดอกเบี้ยไม่น่าจะปรับลงแล้วล่ะ
และควรนำนโยบายด้านการคลังเข้ามาช่วยผลักดันด้วย
ทว่า ผ่านมาถึงตอนนี้ ขณะนี้ หรือปัจจุบัน
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ดูเหมือนจะดีขึ้นอย่างช้า ๆ
อาจจะทรุด หรือชะลอการฟื้นตัวออกไปอีก
เหตุผลจากการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ที่เกิดขึ้น จะเป็นตัวเหนี่ยวรั้งเศรษฐกิจ
แม้โควิดรอบล่าสุดนี้ ถูกประเมินว่า อาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงเหมือนรอบแรก เพราะเอกชนเองต่างเรียนรู้ หรือมีประสบการณ์ที่จะรับมือกันแล้ว
แต่ดอกเบี้ยก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามาช่วยเอกชนในด้านของ “ต้นทุน”
ล่าสุด มีการวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์ของ บล.เอเซีย พลัส
มีการเปิด 4 ปัจจัยเอื้อต่อการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25%
นั่นคือ ทั้งเงินเฟ้อต่ำ โควิด-19 เงินบาทแข็งค่า และผลตอบแทนพันธบัตร หรือ Bond Yield ยังต่ำ
พร้อมประเมินหากลดจริงจะหนุนอัพไซด์หุ้นได้อีกประมาณ 100 จุด ชู 3 หุ้นรับอานิสงส์
เริ่มจาก “อัตราเงินเฟ้อไทยยังต่ำ” ที่อัตราเงินเฟ้อไทยเดือนธ.ค. 2563 รายงานออกมาหดตัว 0.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่เดือน พ.ย. 2563 หดตัว 0.41% ตามราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว
หากพิจารณาอัตราดอกเบี้ยแท้จริง หรือ Real Interest Rate ที่คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายลบด้วยอัตราเงินเฟ้อ
จะพบว่าปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยแท้จริงของไทยอยู่ที่ระดับ 0.77% เปิดช่องให้ กนง. ลดดอกเบี้ยลงได้อีก หรืออัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% ลบด้วย -0.27%
“เศรษฐกิจไทยเผชิญความเสี่ยงจาก โควิด-19” ที่การกระจายตัวของผู้ติดเชื้อ ทำให้รัฐบาลเข้มงวดกิจกรรมเศรษฐกิจ
Partial Lockdown หากยืดเยื้อ จะเป็น Down side ต่อการเติบโตเศรษฐกิจ
“ค่าเงินบาท” ยังมีแนวโน้มแข็งค่า ปัจจุบันค่าเงินบาทยังทรงตัวราว 29.9-30 บาท/เหรียญ แข็งค่าสุดในรอบ 1 ปี
และสุดท้าย “ผลตอบแทนพันธบัตร” (Bond Yield) 1 ปีต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย โดย Bond Yield 1 ปีถือเป็น 1 ใน Leading Indicator ของไทยทรงตัวอยู่ในระดับต่ำที่ 0.349% ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบัน 0.50%
บ่งบอกว่าตลาดคาดว่าจะมีโอกาสที่ กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในอนาคต
แน่นอนว่า การลดดอกเบี้ยนโยบาย เป็นอีกหนึ่งแรงหนุน หรือเพิ่มอัพไซด์ของตลาดหุ้นเปิดกว้างขึ้น
มีการประเมินเป้าหมายของดัชนีปี 2564 ที่ระดับดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ภายใต้ Market Earning Yield Gap ที่ 3.7-3.5% (ถือว่า Conservative ในช่วงเวลาที่ Fund Flow ไหลเข้า) อยู่ที่ 1,550-1,626 จุด
หากลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% จะผลักดันให้ P/E ที่เหมาะสมเพิ่มขึ้น 1.5–1.7 เท่า
หรือเปิดอัพไซด์ให้เป้าหมายของดัชนีอีก 96–108 จุด มาอยู่ที่ 1,646–1,734 จุด
สรุปคือ ปัจจัยต่าง ๆ กดดันให้ดอกเบี้ยที่ยืนในระดับต่ำมีโอกาสลดลงอีก
และหนุนให้ฟันด์โฟลว์มีโอกาสย้ายจากสินทรัพย์ปลอดภัยมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะ “หุ้นจ่ายปันผลสูง”