พาราสาวะถี
คิดว่าจะไม่โดนด่าเหมือนโครงการเราไม่ทิ้งกันแล้ว เพราะโครงการเราชนะอธิบายชัดเรื่องเหตุผลการจ่ายเงิน 3,500 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 2 เดือน พร้อมกำหนดตัวบุคคลที่จะจ่ายชัดเจนว่าอยู่ที่ 31.1 ล้านคน แต่ดันมีปัญหาเรื่องวิธีการจ่ายเงิน เนื่องจากไม่มีการจ่ายเป็นเงินสด ทุกคนที่ได้รับต้องใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังเท่านั้น นั่นหมายความว่า ประชาชนที่ได้รับสิทธิ์จะต้องมีสมาร์ตโฟนกันทุกคน มิเช่นนั้น จะไม่สามารถใช้เงินที่ได้รับมาได้
อรชุน
คิดว่าจะไม่โดนด่าเหมือนโครงการเราไม่ทิ้งกันแล้ว เพราะโครงการเราชนะอธิบายชัดเรื่องเหตุผลการจ่ายเงิน 3,500 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 2 เดือน พร้อมกำหนดตัวบุคคลที่จะจ่ายชัดเจนว่าอยู่ที่ 31.1 ล้านคน แต่ดันมีปัญหาเรื่องวิธีการจ่ายเงิน เนื่องจากไม่มีการจ่ายเป็นเงินสด ทุกคนที่ได้รับต้องใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังเท่านั้น นั่นหมายความว่า ประชาชนที่ได้รับสิทธิ์จะต้องมีสมาร์ตโฟนกันทุกคน มิเช่นนั้น จะไม่สามารถใช้เงินที่ได้รับมาได้
ตรงนี้แหละที่เป็นปัญหา ฟัง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังชี้แจง ยิ่งเป็นการไปเหยียบย่ำความรู้สึกของคนที่เข้าไม่ถึงโอกาสในการใช้โทรศัพท์และบริการดังกล่าวหนักข้อเข้าไปอีก ประเด็นมันไม่ได้อยู่แค่ที่ว่า “คนไม่มีโทรศัพท์สมาร์ตโฟนเชื่อว่าจะเป็นส่วนน้อย หากใครไม่มีก็ต้องขอรบกวน เพราะตอนนี้ราคาไม่แพงแล้ว” เหมือนอย่างที่เสนาบดีท่านนี้ว่า ถ้าทุกคนเท่าเทียมกันหรือมีเงินพร้อมที่จะควักซื้อได้เหมือน ฯพณฯ ท่านทั้งหลายคงไม่มีปัญหา
แต่ถามว่าสมาร์ตโฟนที่จะรองรับแอปพลิเคชันเหล่านี้ ราคาเริ่มต้นต้องอยู่ที่เท่าไหร่ และไม่เพียงแค่ค่าเครื่องเท่านั้น ในการที่จะไปใช้จ่ายตามร้านรวงต่าง ๆ และที่ระบุว่าจะเน้นไปที่หาบเร่ แผงลอย ธุรกิจขนาดเล็กขนาดกลาง ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีบริการไวไฟฟรีไว้ให้ใช้ นั่นหมายความว่า เมื่อเสียเงินซื้อเครื่องมาแล้ว ยังต้องไปซื้อแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตจากผู้บริการอีก ถามว่าเพื่อให้ได้เงิน 7 พันบาทเป็นเวลาสองเดือน คนยากจนคนเดือดร้อนเหล่านี้ต้องควักเงินเพิ่มอีกเท่าไหร่เพื่อจะได้เข้าถึงสิทธิ์
คิดแบบคนมีเงิน คนไม่เดือดร้อนย่อมมองเห็นว่านี่เป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่สำหรับคนยากจน คนด้อยโอกาสและคนที่สมควรจะได้รับสิทธิ์ที่รัฐบาลใช้คำว่าเยียวยานั้น ทุกบาททุกสตางค์มันหมายถึงต้นทุนชีวิตที่ต้องคิดคำนวณว่า จะใช้ได้กี่วัน ประคับประคองตัวเองและครอบครัวให้อยู่ได้โดยไม่อดอยากได้นานแค่ไหน ดังนั้น การจะแจกเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจึงไม่ควรมีข้อแม้มากมาย ซึ่งมันจะกลายเป็นการแจกที่ไม่ได้ใจประชาชน
การอธิบายว่าการไม่จ่ายเป็นเงินสดเพื่อลดการสัมผัสธนบัตรลดการแพร่เชื้อโควิด-19 ไม่รู้ว่าใช้สมองส่วนไหนคิด หรือดัดจริตกันมากขนาดไหน แน่นอนว่า การอ้างต้องการยกระดับประเทศไทยไปสู่สังคมไร้เงินสด ถามว่าในเมื่อคนไม่มีเงินแล้ว เขาเหล่านั้นจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้ออุปกรณ์เพื่อสนองตอบความคิดแบบมองไม่รอบด้านของคณะผู้บริหารประเทศ ยิ่งไปพูดว่าใครไม่มีจะติดต่อบริษัทโทรศัพท์ให้นำไปขายให้ในราคาถูก ยิ่งเป็นเหมือนตลกร้าย
กลายเป็นว่าการพูดโดยไม่คิด ตัดสินปัญหาแบบมักง่าย จะโดยตั้งใจหรือไม่ไม่ทราบ แต่นั่นเท่ากับว่าเป็นการเปิดช่องไปเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุน เจ้าสัวทั้งหลายเข้าไปอีก และโดยเฉพาะกิจการสื่อสารซึ่งมีแค่ไม่กี่เจ้า อย่าเอาง่ายเข้าว่าและคิดประสาคนมีเงิน ต้องมองให้ทะลุว่าคนที่เดือดร้อน ไม่มีสมาร์ตโฟนใช้จะช่วยเหลือกันยังไง การไปยกเอาโครงการคนละครึ่งมาเปรียบเทียบ ถามหน่อยว่า คนที่เข้าถึงโครงการแล้วใช้เม็ดเงินไปนั้น เป็นคนยากคนจนทั้งหมดหรือคนอยากจนเสียส่วนใหญ่
จะด้วยรับเรื่องร้องเรียนมาจากประชาชนในพื้นที่ที่พรรคตัวเองมีส.ส.จริงหรือไม่ไม่ทราบ หรือเป็นเพราะกำลังมีปัญหาเหยียบตาปลากันอยู่ว่าด้วยเรื่องการต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว อนุทิน ชาญวีรกูล และ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ในฐานะหัวหน้าและเลขาธิการพรรค จึงสั่งให้ส.ส.ของพรรคตั้งโต๊ะแถลงข่าวชุดใหญ่ ทำหนังสือถึงผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจให้ทบทวนวิธีการดำเนินการโครงการเราชนะใหม่ ซึ่งก็เป็นการทักท้วงที่เป็นเหตุเป็นผล
เพราะมียกประเด็นที่ว่าวิธีการลงทะเบียนที่กำหนดไว้ต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์แบบสมาร์ตโฟน จากการตรวจสอบข้อมูลของสำนักงานกสทช.พบว่า ยังมีประชาชนกว่า 2.5 ล้านคนที่ยังใช้โทรศัพท์ระบบอนาล็อกหรือบางคนไม่มีด้วยซ้ำไป ถ้าเป็นข้อมูลแบบนี้ต้องยกเครดิตให้พรรคนี้ เพราะเค้ามีอดีตรองประธานกสทช.อย่าง พันเอกเศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อด้วย ย่อมไม่ใช่ข้อมูลยกเมฆอย่างแน่นอน
ขณะที่การทิ้งท้ายในการแถลงข่าวด้วยประเด็นที่ว่า การที่พรรคภูมิใจไทยทำหนังสือถึงท่านผู้นำนั้นก็เพื่อขออย่าละเลย เพิกเฉย ต้องรีบเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน ให้เกิดประโยชน์ความเสมอภาค ทั่วหน้า ทั่วถึงต่อประชาชนด้วย โดยอยากเรียกร้องรัฐบาลกลับมาทบทวนเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เข้าไม่ถึง อย่าให้พวกเขารอดพ้นจากสิ่งที่เขาควรได้รับประโยชน์ เป็นการกระตุกสำเหนียกคนกันเองอย่างเป็นเหตุเป็นผล ถ้าไม่มองว่านี่เป็นการเตะตัดขากันด้วยเรื่องอื่น ก็สมควรที่ผู้มีอำนาจต้องพิจารณาทบทวน
ประเด็นทางการเมืองที่ว่าด้วยความขัดแย้งทั้งภายในพรรคหรือกระทั่งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลกันเองนั้น ไม่ได้มีเฉพาะกรณีของภูมิใจไทยกับขั้วแกนนำรัฐบาลต่อการต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว หากแต่เวลานี้ภายในพรรคสืบทอดอำนาจก็มีปมเรื่องความเห็นไม่ลงรอยต่อการส่งผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. โดยหัวหน้าพรรค พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อ้างยึดเกณฑ์ตามการเลือกนายกอบจ.คือไม่ส่งคนลงสมัครในนามพรรค
แต่รองหัวหน้าพรรคอย่าง ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ มีความประสงค์จะส่งเมียของตัวเอง ทยา ทีปสุวรรณ ที่เคยเป็นอดีตรองผู้ว่าฯ กทม.ลงชิงชัยสนามนี้ ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปากผู้นำพรรคทันที เพราะพรรคเล็งที่จะสนับสนุน พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร.เป็นตัวแทนในนามผู้สมัครอิสระ เมื่อเกิดกรณีนี้คงอยู่ที่ว่าคำพูดของพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ที่ว่า “รับรองพรรคไม่มีอะไรแตก อย่าไปคิดว่าจะแตกเลย ผมยังอยู่ไม่แตก” จะใช้อะไรมาแลกกับความไม่พอใจของแกนนำคนสำคัญของพรรคในครั้งนี้
ด้วยมองเห็นว่าจะมีการฮั้วกันนี่กระมัง จึงทำให้ พนิต วิกิตเศรษฐ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.จากประชาธิปัตย์ จึงได้ออกมาดักคอแต่เนิ่น ๆ ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้จะเป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญของคนกรุงเทพฯ ในการกำหนดคุณภาพชีวิตของตัวเอง พรรคการเมืองต้องหยุดเล่นเกมการเมือง อย่าตบตาคนกรุงเทพฯ เลิกฮั้ว และส่งคนที่มีความสามารถพร้อมนโยบายที่แก้ปัญหาได้จริง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนกทม. ต้องรอดูเมื่อถึงเวลาจะรู้กันเองว่า ใครเล่นละครกันแบบไหน ใครตบตาคนเมืองหลวงได้เนียนกว่ากัน