กล้าสู้ กล้าชนะ
หากไม่ได้ลูกฮึดของคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย และพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกีฬาและการท่องเที่ยว รายการแข่งขันเวิลด์ทัวร์ยิ่งใหญ่ระดับโลก 3 รายการซ้อนในเดือนม.ค. ณ ประเทศไทย ที่เหมือนกับแกรนด์ สแลมในโลกกีฬาเทนนิส คงไม่อาจอุบัติขึ้นได้
ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
หากไม่ได้ลูกฮึดของคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย และพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกีฬาและการท่องเที่ยว รายการแข่งขันเวิลด์ทัวร์ยิ่งใหญ่ระดับโลก 3 รายการซ้อนในเดือนม.ค. ณ ประเทศไทย ที่เหมือนกับแกรนด์ สแลมในโลกกีฬาเทนนิส คงไม่อาจอุบัติขึ้นได้
เพราะเกิดขึ้นในช่วงกระแสสูงแห่งการระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลก
แนวทางการจัดการแข่งขันครั้งนี้ ถือเป็น “นิว นอร์มัล” ใหม่ถอดด้าม ที่นำนักกีฬา 22 ชาติกว่า 800 คน เข้า
อยู่ภายใต้ “บับเบิ้ล” ที่คุ้มกันนักกีฬามิให้สัมผัสกับบุคคลภายนอกทั้งการเดินทาง การพักอาศัย การฝึกซ้อม และการแข่งขัน ซึ่งการแข่งขันรายการแรก “โยเน็กซ์ ไทยแลนด์ โอเพ่น” ก็ออกมาราบรื่นดี
ดำเนินการแข่งขันไปได้ตลอดรอดฝั่งจนจบในรอบชิงชนะเลิศ พบผู้ติดเชื้อโควิดจากการตรวจสอบเข้มข้นเพียง 1 คน เป็นนักกีฬาอียิปต์ คณะกรรมการจัดการแข่งขัน สั่งห้ามลงแข่งขัน
ส่วนรายการที่ 2 “โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น” ที่กำลังแข่งขันกันในสัปดาห์นี้ นักกีฬาจากสัปดาห์ก่อน ที่ใช้ชีวิตภายใต้การคุ้มกันใน “บับเบิ้ล” ราวไข่ในหิน ได้กลับมาลงเล่นต่อโดยพร้อมเพรียง พบนักแบดอินเดียติดเชื้อเป็นบวก 1 คน และเพื่อนร่วมห้อง ผลตรวจเป็นลบ แต่ก็ให้ออกจากการแข่งขันไปทั้งคู่ (รายงานถึงวันที่ 21 ม.ค.)
หวังใจว่า รายการที่ 3 “เวิลด์ทัวร์ ไฟแนล” ในสัปดาห์หน้า ที่คัดเอา 8 ยอดฝีมือในแต่ละประเภทมาชิงชัยจะราบรื่นไปตลอดรอดฝั่ง เพื่อจะได้บันทึกเกียรติยศว่า “ประเทศไทย จัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกได้ โดยปลอดภัยจากโควิด”
นี่คือ ผลพวงของจิตใจที่ “กล้าสู้ กล้าเอาชนะ” ก็สามารถทำงานใหญ่ที่ท้าทาย และฝ่าฟันนานาอุปสรรคจนก้าวผ่านสู่ความสำเร็จได้ ปัญหาการจัดการกับโควิดในประเทศไทยเวลานี้ก็เช่นกัน เดินทางมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจกันแล้วว่า เอาแนวป้องกันนำเศรษฐกิจ หรือเอาแนวเศรษฐกิจนำการป้องกัน หรือเอาแนวเดินควบคู่ไปด้วยกันทั้งแนวป้องกันและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
เราเดินแนวทางควบคุมกันมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 เดือน เศรษฐกิจก็พังมาแล้ว 2 รอบ แต่รอบนี้ดูจะหนักสาหัส เพราะคนติดเชื้อเพิ่มขึ้น การควบคุมก็เข้มข้นและกว้างขวางยิ่งขึ้น ประชาชนจะตกงานและอดตายมากยิ่งขึ้น โดยทางออกตีบตันยิ่งขึ้นทุกทีแล้ว
แต่น่าสังเกตว่า จำนวนคนตายเพิ่มขึ้นน้อยมาก 10 เดือนมานี้ จำนวนคนตายจาก 60 คน เพิ่มมาเพียง 11 คน เป็น 71 คนเท่านั้น คิดเป็นเปอร์เซ็นต์คนตายก็แค่ 0.56% จากผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 12,655 คน แต่แนวโน้ม “คนอดตาย” กำลังจะมีมากกว่า จึงขอเสนอให้ทิศทางจัดการแห่งรัฐ มุ่งไปที่การป้องกันควบคู่ไปกับการกอบกู้เศรษฐกิจครับ
เปอร์เซ็นต์คนตายน้อย ก็แสดงว่า เปอร์เซ็นต์การรักษาหายสูง สถิติ ณ 20 ม.ค. คือร้อยละ 76.02 ครับ มาตรการรัฐที่คุมเข้มในปัจจุบันนี้จนเศรษฐกิจฐานรากพังทลาย มันเกินกว่าเหตุไปหรือเปล่า ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นจะต้องคลายมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศกันได้แล้วครับ
ขอชมเชยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ที่บัดนี้สั่งผ่อนคลายให้ร้านอาหารขายได้ถึง 4 ทุ่มและมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำหน่ายได้ แต่กทม.ยังคงเวลา 3 ทุ่ม และห้ามดื่มแอลกอฮอล์ นี่มันเป็นคุณพ่อรู้ดี คิดแทนประชาชนอีกแล้ว คิดได้ไงอ๊ะ! ยอมให้เปิดหน้าเปิดตาทานอาหารกันได้ แต่กลัวประชาชนจะกินเหล้าเลยเถิดทั้งที่มีเวลากำกับอยู่แล้ว
ปัญหาวัคซีน มีวัคซีนที่องค์การอนามัยโลกให้การยอมรับแล้ว ไม่น้อยกว่า 4 ยี่ห้อคือ ไฟเซอร์, โมเดอร์นา, แอสตร้า เซนเนก้า และซิโน แวค นอกจากนั้นก็ยังมีวัคซีนรัสเซีย อินเดีย และมีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในประเทศต่าง ๆ กว่า 10 ประเทศแล้ว
แต่ไทยเรา ยังไม่มีการฉีดสักเข็มเลย ทั้งเหตุจากการตัดสินใจเชื่องช้าของรัฐบาล และกฎระเบียบคือ ต้องผ่านการอนุญาตจากอ.ย.ทั้งที่โรงพยาบาลเอกชน ก็พร้อมจะนำเข้ามาฉีดให้ลูกค้าที่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว
ใครมาวิจารณ์รัฐบาลไปผูกมัดกับเอกชนบางเจ้ามากเกินไปจนเกิดความล่าช้า และราคายาก็ยังแพงกว่าวัคซีนเจ้าอื่นมากเกินไป แทนที่รัฐบาลจะรับฟังและไปตรวจสอบเพื่อแก้ไข ก็กลับทำตัว “หัวร้อน” ไปแจ้งความเอาม.112 ไปเล่นงานเอาผิดเสียนี่
ปัญหาการแพร่ระบาดโควิดมาจาก 3 แหล่งสำคัญ คือ สนามมวย บ่อนพนัน และการเข้าเมืองผิดกฎหมาย ทั้งคนไทยคนชาติเพื่อนบ้าน ก็ล้วนแล้วแต่ความหละหลวมและทุจริตของหน่วยงานรัฐในความควบคุมของรัฐบาล 3 ป.ทั้งสิ้น
โทษรัฐบาลชุดก่อน ๆ ไม่ได้เลยเพราะตัวเองอยู่เป็นรัฏฐาธิปัตย์และรัฐบาลมาแล้ว 7 ปี
ความจริงใจในการแก้ปัญหาโควิดของรัฐบาล ยังมีความน่าสงสัยถึงความมุ่งมั่นป้องกัน-รักษาเป็นหลัก หรือมุ่งหวังผลในทางการเมืองกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ เลยตอนนี้ ก็คือบ้านเมืองไทย ใกล้เป็นเมืองผี (โกสต์ ทาวน์) เศรษฐกิจพังพินาศเข้าไปทุกทีแล้ว
อยู่กันไปอย่างนี้ล่ะครับ ทั้งป้องกันโควิดและประกอบสัมมาชีพกันไป ตอนนี้คนต้องอดตายจากปัญหาเศรษฐกิจ มากกว่าตายเพราะโควิดหลายเท่าทวีคูณไปแล้ว