ORI-JWD อสังหาฯ โลจิสติกส์.!
เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ..!! ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์และโลจิสติกส์ เมื่อบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำอย่างบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI หันมาผูกข้อไม้ข้อมือกับผู้นำด้านโลจิสติกส์ครบวงจรอย่างบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD...
สำนักข่าวรัชดา
เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ..!! ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์และโลจิสติกส์ เมื่อบริษัทอสังหาฯ ชั้นนำอย่างบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI หันมาผูกข้อไม้ข้อมือกับผู้นำด้านโลจิสติกส์ครบวงจรอย่างบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD…
ด้วยการตั้งบริษัทร่วมทุนที่ชื่อ บริษัท ออริจิ้น เจดับเบิ้ลยูดี อินดัสเทรียล แอสเซท จำกัด เพื่อรุกธุรกิจอสังหาฯ ที่เกี่ยวกับโลจิสติกส์ โดย ORI และ JWD จะถือหุ้นเท่า ๆ กันฝ่ายละ 49.98%…
แม้ทุนจดทะเบียนของบริษัทร่วมทุนดังกล่าวไม่เยอะ แค่ 1 ล้านบาทเท่านั้น แต่ก็ถือเป็นมูฟเมนต์ที่น่าสนใจของทั้งคู่
ถ้าจะให้ตีความธุรกิจอสังหาฯ ที่เกี่ยวกับโลจิสติกส์ ก็น่าจะหมายถึงอสังหาฯ ประเภทแวร์เฮาส์ ศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้า โกดัง และโรงงาน นั่นแหละ…
ในขณะที่ทั้งคู่มีความถนัดเฉพาะทางที่แตกต่างกัน โดย JWD เป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าครบวงจร ถ้าจะให้ไปสร้างพวกแวร์เฮาส์ ศูนย์กระจายสินค้า ฯลฯ ก็คงไม่ถนัด แต่ JWD อาจมีเครือข่ายลูกค้าที่ต้องการใช้บริการแวร์เฮาส์ ศูนย์กระจายสินค้ารออยู่แล้ว…
ฟาก ORI เดิมสร้างบ้าน สร้างคอนโดฯ ขายอยู่แล้ว ก็จะมีความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างและการออกแบบมากกว่า สามารถออกแบบพื้นที่การใช้สอยอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถือเป็นการเอาโนว์ฮาวที่แต่ละฝ่ายมี มา “ปิดจุดอ่อน”–“เสริมจุดแข็ง” ของกันและกัน…
ก็น่าคิดนะว่า การทำธุรกิจในยุคนี้ นับวันยิ่งมีโจทย์ยากท้าทายรอบด้าน โดยเฉพาะในภาวะที่ไม่ปกติอย่างนี้ อยู่ ๆ ก็เกิดเชื้อไวรัสมรณะออกอาละวาดทำลายล้างเศรษฐกิจทั่วโลกซะพังยับเยิน…ดังนั้น การจับมือกันสู้ มีพันธมิตรธุรกิจมาสุมหัวร่วมกันคิดและทำ น่าจะช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มทางรอด และมีโอกาสรุ่ง มากกว่าสู้คนเดียว…
ก็เข้าทำนอง สองหัวดีกว่าหัวเดียวนั่นแหละ…
โอเค…เบื้องต้นรายได้จากธุรกิจใหม่คงเทียบไม่ได้กับพอร์ตรายได้หลักของแต่ละบริษัท…แต่ในมุม JWD การมีรายได้จากตรงนี้เข้ามาเสริม ก็น่าจะทำให้มีกำไรเพิ่มมากขึ้น
จากก่อนหน้านี้ที่เห็น JWD มีรายได้ระดับ 3,000-4,000 ล้านบาท และมีกำไรระดับ 200-300 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกปี 2563 มีรายได้รวม 2,934 ล้านบาท กำไร 214 ล้านบาท ไม่แน่ในอนาคตอาจได้เห็นตัวเลขที่สูงกว่านี้ก็ได้…ใครจะไปรู้
ส่วน ORI ธุรกิจตรงนี้อาจมีสัดส่วนน้อยนิดเมื่อเทียบกับยอดขายบ้าน ยอดขายคอนโดฯ ในแต่ละปีที่มีรายได้ระดับ 14,000–16,000 ล้านบาท กำไรระดับ 2,000–3,000 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกปี 2563 มีรายได้รวม 8,690 ล้านบาท กำไร 2,019 ล้านบาท แต่มันจะเป็น Recurring Income หรือรายได้ประจำของ ORI เท่ากับเป็นโอกาสเพิ่มในแง่รายได้…
เรียกว่า แม้ไม่ใช่อาหารหลัก แต่ก็เป็นอาหารเสริมที่จะช่วยสร้างภูมิต้านทานให้ทั้งสองบริษัทแข็งแกร่งขึ้น…
เป็นอีกดีลที่สมประโยชน์กันทั้งคู่…
…อิ อิ อิ…