พาราสาวะถี
ร่ายยาวชี้แจงข้อทักท้วงปมจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยสิ่งที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เน้นย้ำในถ้อยแถลงที่แจกแจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวนั้น เป็นประเด็นที่ย้อนถามธนาธรว่า การเปิดเผยรายละเอียดในสัญญา ฐานะที่เป็นนักธุรกิจเคยทำสัญญากับต่างประเทศน่าจะเข้าใจดีว่าสิ่งไหนที่เปิดเผยได้ไม่ได้อย่างไร ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว เพราะนั้นเป็นเงินส่วนตัว เงินบริษัท ไม่เกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน
อรชุน
ร่ายยาวชี้แจงข้อทักท้วงปมจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยสิ่งที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เน้นย้ำในถ้อยแถลงที่แจกแจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวนั้น เป็นประเด็นที่ย้อนถามธนาธรว่า การเปิดเผยรายละเอียดในสัญญา ฐานะที่เป็นนักธุรกิจเคยทำสัญญากับต่างประเทศน่าจะเข้าใจดีว่าสิ่งไหนที่เปิดเผยได้ไม่ได้อย่างไร ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว เพราะนั้นเป็นเงินส่วนตัว เงินบริษัท ไม่เกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน
กรณีของวัคซีนโควิด-19 เป็นเงินภาษีของประชาชนที่ถูกนำไปซื้อ การอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน ยิ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องจะต้องชี้แจงรายละเอียดต่าง ๆ ให้ชัด เพราะตามกระบวนการที่เสี่ยหนูอธิบายมานั้น หากเปิดเผยให้สังคมทราบเป็นระยะและชี้แจงเป็นช่วง ๆ โดยเฉพาะประเด็นที่จะนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ทุกอย่างจะได้ไม่มีข้อกังขา และเชื่อแน่ว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น สิ่งเหล่านี้จะต้องถูกหยิบยกมาซักฟอกอย่างแน่นอน
ท่วงทำนองของขบวนการสืบทอดอำนาจและเครือข่ายสมทบอย่างสองพรรคการเมืองสำคัญหลังจากนี้ ก็จะเป็นการออกมายืนยันการันตีความบริสุทธิ์ ผุดผ่องของรัฐมนตรีในสังกัดตัวเองอย่างแข็งขัน พร้อม ๆ กับการดิสเครดิตพรรคฝ่ายค้านอย่างต่อเนื่อง ยิ่งผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจทำนายไว้ได้เลยว่า ทุกเวทีที่พูดในประเทศ จะต้องติดดาบพาดพิงถึงฝ่ายค้านไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งถือเป็นวิธีการผลิตซ้ำตอกย้ำลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม และสร้างความเชื่อของประชาชนให้คิดว่าพวกข้าดีแต่เพียงฝ่ายเดียว
ลิ่วล้อสอพลอทั้งหลายได้เวลาออกมาทำหน้าที่ปกป้องเจ้านาย ในซีกส่วนของพรรคสืบทอดอำนาจส.ส.ต้นทุนต่ำที่ทำตัวให้เป็นข่าวอยู่ตลอดเวลา ก็จะได้ลุกขึ้นมาทำหน้าที่เป็นไม้กันหมา ปะฉะดะกับฝ่ายค้านชนิดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอะไรทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งที่เป็นไปในลักษณะเช่นนี้มันจึงวกกลับไปยังแนวทางของเผด็จการคสช.ต่อเนื่องกระทั่งเผด็จการสืบทอดอำนาจในเรื่องของการสร้างความปรองดอง มันเป็นเพียงแค่วาทกรรมที่ถูกสร้างมาเพื่อให้คนส่วนใหญ่สนับสนุนตัวเองเท่านั้น
จะได้เห็นว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 7 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีความพยายามที่จะสร้างความสมานฉันท์ใด ๆ ให้เกิดขึ้น เชิญขั้วความขัดแย้งไปแลกเปลี่ยนและเสนอความเห็นกันมาหลายรอบ สุดท้ายกลายเป็นแค่เศษกระดาษ ไม่ได้ถูกนำมาปฏิบัติหรือสร้างเป็นแนวนโยบายให้เกิดผลเป็นรูปธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น มิหนำซ้ำ ยังมีความพยายามที่จะทำให้ความขัดแย้งคงอยู่ เพราะนี้คือเหตุผลชั้นดีที่จะทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั่งอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้นาน ๆ ด้วยข้ออ้างสุดคลาสสิคทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้
อย่างไรก็ตาม ผลพวงจากม็อบราษฎรที่ผ่านมาเป็นสัญญาณบ่งชี้แล้วว่า หนทางที่วางแผนกันมาโดยตลอดเพื่อให้การอยู่ในอำนาจราบเรียบเงียบสงบนั้น หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ยิ่งอ้างตัวว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ยิ่งต้องถูกตรวจสอบโดยภาคประชาชนได้ทุกวิถีทาง หลังจากเหตุระบาดของโควิดระลอกสอง ถ้าสถานการณ์ความเดือดร้อนเลวร้ายลงเรื่อย ๆ นั่นก็จะยิ่งกลายเป็นหนทางนำไปสู่การก่อม็อบอีกประเภท ซึ่งจะยากในการต่อกรมากกว่าม็อบทางการเมืองเป็นอย่างมาก
ความเดือดร้อนของประชาชน ไม่ว่าจะกลุ่มใดก็ตามหากสามารถฉายภาพของการเลือกปฏิบัติจากฝ่ายกุมอำนาจรัฐให้เห็นได้เด่นชัดมากเท่าไหร่ นั่นหมายถึงเสถียรภาพของรัฐบาลที่จะสั่นคลอนมากขึ้นเท่านั้น กรณีของกะเหรี่ยงบางกลอย ในป่าแก่งกระจานที่ถูกฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐรุกไล่เพื่อให้ย้ายที่อยู่ซึ่งปักหลักกันมานานนับร้อยปีนั้น มันกำลังสะท้อนให้เห็นภาพของการใช้กฎหมายที่เขียนขึ้นมาเพื่อจะรังแกคนที่ไม่มีทางสู้ โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้ที่ทำไปนั้น มันไม่ได้สร้างความรู้สึกร่วมที่ดีต่อสังคมแต่อย่างใด
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า กลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในประเทศไทยในปัจจุบันคนเหล่านี้ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว หรือไม่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกแต่อย่างใด ตรงกันข้าม รุ่นลูกรุ่นหลานต่างก็ศึกษา ใฝ่รู้และแสวงหาความร่วมมือกับเครือข่ายต่าง ๆ เพราะคนเหล่านั้นรู้ดีว่าหากไม่ลุกขึ้นมาต่อสู้ ก็จะกลายเป็นผู้ถูกกระทำอย่างไร้มนุษยธรรมอยู่ร่ำไป ดังนั้น กรณีดังกล่าวเราจึงได้เห็นการลุกขึ้นมาร่วมต่อสู้ของสังคมอย่างแข็งขัน เพื่อจะเป็นภาพสะท้อนไปยังภาครัฐว่าอย่าได้รังแกคนที่พวกมีหัวโขนมองว่าไม่ใช่คนเป็นอันขาด
ปัญหาดังกล่าวได้รับการประจานโดยทันทีจากการลาออกของคณะทำงานยุทธศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มี สุริชัย หวันแก้ว เป็นประธาน เพื่อที่จะต้องการสื่อสารกับสังคมว่า การแก้ปัญหาเรื่องทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ที่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาให้ดูสวยหรูนั้น แท้ที่จริงในภาคปฏิบัติหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ กรณีของกะเหรี่ยงบางกลอยคือภาพยืนยันชัดเจน ที่พบว่าคณะกรรมการได้ทักท้วงไปแล้วแต่ภาครัฐยังคงเพิกเฉย
กรณีลักษณะเช่นนี้สุริชัยในฐานะที่เข้าไปนั่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสมานฉันท์ของรัฐสภาด้วยนั้น ควรที่จะต้องหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นหารือด้วยเช่นเดียวกัน แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับปมปัญหาที่ตั้งกันไว้ เพราะหัวใจหลักของคณะกรรมการชุดนี้คือแก้ปัญหาม็อบราษฎร แต่เชื่อได้เลยว่า ถ้าไม่มีการแก้ไขใด ๆ ไม่ใช่เฉพาะกรณีกะเหรี่ยงบางกลอย แต่ม็อบสารพัดปัญหาที่กำลังเดือดร้อนอยู่เวลานี้ จะกลายเป็นตัวสร้างปัญหาอย่างใหญ่หลวงต่อรัฐบาลสืบทอดอำนาจ ซึ่งผู้ที่ได้ชื่อว่ากรรมการสมานฉันท์จะมองข้ามไม่ได้เป็นอันขาด
การซักฟอกรัฐบาลนอกจากประเด็นการดิสเครดิตฝ่ายค้านแล้ว อีกประเด็นที่จะเป็นข้อทุ่มเถียงกันและกลายเป็นเกมเอาล่อเอาเถิดกันระหว่างสองฝ่ายคงหนีไม่พ้นปมระยะเวลาในการที่จะอภิปราย ที่เบื้องต้นกำหนดไว้ 4 วัน แต่ล่าสุด สุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้านขยับขอขยายเวลาเป็น 5 วันบวก 1 วันในการลงมติ อยู่ที่ว่าฝ่ายกุมอำนาจจะเห็นด้วยหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะที่ประชาชนคาดหวังคือสิ่งที่อภิปรายนั้นจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลได้หรือไม่ อย่างน้อยรัฐมนตรีหนึ่งคนต้องสิ้นสภาพ ถ้าทำได้เช่นนั้นก็จะสมราคาคุยหน่อย เพราะแค่เริ่มต้นคนก็เกรงกันว่าจะเป็นมวยล้มต้มคนดูเสียมากกว่า