กระแสต้อนรับ ‘บิตคอยน์’ มาแล้ว
มีสัญญาณเมื่อเร็ว ๆ นี้มากขึ้นว่า อุตสาหกรรมการเงิน ได้ให้ความสนใจและแสดงท่าทีต้อนรับต่อ “บิตคอยน์” มากขึ้น และเพราะสัญญาณนี้เอง ทำให้ราคาบิตคอยน์ปรับตัวขึ้นเกือบถึง 50,000 ดอลลาร์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยทำสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ 49,716 ดอลลาร์
กระแสโลก : ฐปนี แก้วแดง
มีสัญญาณเมื่อเร็ว ๆ นี้มากขึ้นว่า อุตสาหกรรมการเงิน ได้ให้ความสนใจและแสดงท่าทีต้อนรับต่อ “บิตคอยน์” มากขึ้น และเพราะสัญญาณนี้เอง ทำให้ราคาบิตคอยน์ปรับตัวขึ้นเกือบถึง 50,000 ดอลลาร์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยทำสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ 49,716 ดอลลาร์
หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่เทสล่า อิงซ์ ประกาศว่าได้ลงทุนในบิตคอยน์ เป็นเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์ มีข่าวว่า บริษัท เคาน์เตอร์พอยต์ โกลบัล ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนของมอร์แกน สแตนลีย์ก็กำลังพิจารณาว่าจะลงทุนในบิตคอยน์หรือไม่
แคนาดาก็ได้อนุมัติให้ตั้งกองทุนอีทีเอฟบิตคอยน์ในอเมริกาเหนือเป็นครั้งแรก ในขณะเดียวกัน มีหลักฐานว่า มีบริษัทมากขึ้นที่กำลังเริ่มให้บริการเงินดิจิทัลเพิ่มขึ้น เช่น บริษัทบีเอ็นวาย เมลลอน ได้ตั้งทีมใหม่พัฒนาแพลตฟอร์มดูแลและบริหารสินทรัพย์ดิจิทัลและสินทรัพย์แบบดั้งเดิม มาสเตอร์การ์ด ก็จะเริ่มอนุญาตให้ผู้ถือบัตร สามารถทำธุรกรรมในสกุลเงินดิจิทัลบางสกุลบนเครือข่ายของบริษัทได้
การออกมาต้อนรับบิตคอยน์อย่างเปิดเผยของคนที่มีชื่อเสียงอย่างอีลอน มัสก์ และธนาคารที่ทรงพลังในวอลสตรีท กำลังเพิ่มแรงส่งใหม่ให้บิตคอยน์
ราคาบิตคอยน์ได้ปรับตัวขึ้นในเดือนนี้ไปแล้ว 40% และมันจะไปต่ออีกได้หรือไม่จากนี้ไป จะขึ้นอยู่กับว่ามันได้รับการยอมรับจากบริษัทมากขึ้นอีกหรือไม่
บิตคอยน์จัดเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ในขณะนี้ยังมีกฎระเบียบควบคุมอยู่น้อย และยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างรุนแรงว่า มันจะสามารถเป็นสินทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายที่มีมูลค่าอย่างแท้จริงหรือมีวัตถุประสงค์ที่แท้จริงใด ๆ ได้หรือไม่
ก่อนหน้านี้มีความวิตกและมีการดูแคลนว่า บิตคอยน์จะมีบทบาทในการฟอกเงินและการฉ้อฉล แม้แต่นิโคลัส ทาเล็บ ผู้เขียนหนังสือ “The Black Swan” ก็เพิ่งทวิตเมื่อไม่นานมานี้ว่าเขาได้ขายบิตคอยน์ไปแล้วเพราะคิดว่าเงินสกุลหนึ่งไม่ควรจะผันผวนมากกว่าที่เราซื้อหรือขาย และยังบอกว่า ไม่สามารถกำหนดราคาสินค้าด้วยบิตคอยน์ได้ ดังนั้นในขณะนี้จึงถือว่าบิตคอยน์ ล้มเหลว
แต่ถึงจะมีมุมมองลบมาโดยตลอดก็ตาม แต่ราคาบิตคอยน์ได้เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด และได้กลายเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการเก็งกำไรมากเกินไป เช่นเดียวกับหุ้นราคาต่ำ และหุ้นกัญชา
มีเบาะแสที่ชี้ว่า บริษัทที่มีอิทธิพลในวอลสตรีทอาจนำเงินเข้าไปลงทุนในตลาดเงินดิจิทัล โดยพัฒนาการที่ทำให้เกิดความเชื่อเช่นนั้น มาจากการให้สัมภาษณ์ของ แดเนียล พินโต ประธานร่วมของเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ว่า ในขณะนี้ ลูกค้ายังไม่มีดีมานด์ต่อบิตคอยน์ แต่เขามั่นใจว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนในวันหนึ่ง
เชื่อกันว่าการแสดงท่าทีต้อนรับบิตคอยน์ของบริษัทใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ จะกระตุ้นให้สถาบันอื่น ๆ หันมาใช้และปรับแผนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินดิจิทัลไม่เพียงแต่กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีค่า แต่ยังอาจเป็นสินทรัพย์ที่จำเป็นด้วย
การเปิดกว้างต่อเงินดิจิทัล ของวอลสตรีทแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมการเงินกำลังถูกบังคับให้ต้องต่อสู้กับบิตคอยน์เนื่องจากการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วล่าสุดและการยอมรับที่เพิ่มขึ้นในหมู่นักลงทุนสถาบัน บริษัท และคู่แข่งฟินเทคทำให้เกิดความกลัวว่าจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ธนาคารพาณิชย์ ที่โดยทั่วไปมักถูกตรวจสอบและควบคุมสูงสุดในบรรดาบริษัทการเงินเพราะว่ามีการดำเนินงานหลายอย่างและมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจ ได้แสดงให้เห็นเป็นส่วนใหญ่ว่าไม่เต็มใจที่จะเข้าไปเล่นในตลาดเงินดิจิทัล แต่หากหนึ่งในหกธนาคารใหญ่สุดของสหรัฐฯ อ้าแขนรับบิตคอยน์ ก็จะเป็นการประทับตราถึงความชอบธรรมตามกฎหมายให้กับสินทรัพย์ที่เพิ่งจะตั้งไข่นี้
บิตคอยน์เกิดขึ้นมาจากซากหายนะของวิกฤติการเงินโลก แต่มีการเก็งกำไรและมีความเสี่ยงมากเกินไปสำหรับลูกค้าของธนาคาร ในช่วงที่ราคาบิตคอยน์พุ่งแรงเมื่อปลายปี 2560 เจมี ดิมอน ซีอีโอของเจพี มอร์แกน เรียกบิตคอยน์ว่าเป็น “การฉ้อโกง” ที่จะไม่จบลงด้วยดี แต่ในขณะที่บิตคอยน์บูมสุดนั้น ธนาคารซึ่งรวมถึงโกลด์แมน แซคส์ เสนอแนวคิดให้ตั้งโต๊ะซื้อขายเงินดิจิทัล แต่ในที่สุดก็ยกเลิกแผนการไป
จากที่บิตคอยน์ สามารถแลกกับพิซซ่าสองถาดได้เมื่อปี 2553 มันสามารถอยู่ยงคงกระพันได้มาอย่างต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ โดยมีเทคโนโลยีได้แสดงให้เห็นถึงพลังของมัน เมื่อเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนา รัฐบาลที่นำโดยสหรัฐฯ ได้อัดฉีดเงินหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่ออุดหนุน ตลาด ธุรกิจและประชาชนในช่วงวิกฤติ ในช่วงนี้ กองทุนบริหารความเสี่ยงจึงได้ใช้บิตคอยน์เป็นตัวบริหารความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และความกังวลเกี่ยวกับการลดมูลค่าของเงินนี้เอง ทำให้เกิดความต้องการลงทุนในบิตคอยน์มากขึ้น
เมื่อมีกระแสข่าวการยอมรับบิตคอยน์ออกมาอย่างต่อเนื่องอีก ก็ยิ่งทำให้บิตคอยต์มีราคาสูงขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวของในเดือนที่ผ่านมาของ แบล็กร็อก บริษัทบริหารสินทรัพย์ใหญ่สุดในโลก ซึ่งได้เพิ่มตราสารบิตคอยน์เป็นการลงทุนที่สามารถทำได้ในกองทุนของบริษัทสองกองทุน
ในขณะนี้คนในอุตสาหกรรมการเงินมองว่าเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่ธนาคารจะเข้ามาเกี่ยวพันกับบิตคอยน์มากขึ้น และยังเชื่อว่า ยังมีอีกหลายบริษัทที่ยังไม่ได้เปิดเผยถึงการลงทุนในบิตคอยน์ น่าจะมีบริษัท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และบริษัทประกันเข้าไปลงทุนในบิตคอยน์เพิ่มอีก
เหตุผลที่เชื่อเช่นนั้น เพราะว่า อุตสาหกรรมการเงินมักมองหาแต่สิ่งที่จะ “ทำเงิน” หรือ “กำไร” ได้อยู่เสมอ และจะไม่ยอม “ตกขบวน” หรือ “ถูกทิ้ง” ไว้ข้างหลังอย่างแน่นอน