STGT และ OR
ทั้ง 2 หลักทรัพย์ คือ STGT และ OR ต่างเป็นหุ้นที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนอย่างมากโดยเฉพาะ “รายย่อย”
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
ทั้ง 2 หลักทรัพย์ คือ STGT และ OR ต่างเป็นหุ้นที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนอย่างมากโดยเฉพาะ “รายย่อย”
STGT หรือหุ้น “ถุงมือยาง” เริ่มเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ 7 ก.พ. 63
วันแรกเริ่มเทรด ราคาหุ้นวิ่งปิดก้าวกระโดด 78%
สาเหตุมาจากเป็นช่วงเริ่มต้นของโควิดระบาด ทำให้การใช้ถุงมือยางในตลาดโลกเติบโตพรวดพราด
และคาดกันว่าในปี 2563 กำไรของ STGT จะต้องเติบโตเป็นหลายเท่าตัว
และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หลัง STGT รายงานกำไรสุทธิปี 2563 กว่า 14,400 เพิ่มขึ้น จากปี 2562 ที่มีกำไร 634 ล้านบาท
หุ้น STGT นับจากเข้าตลาดฯ นักลงทุนต่างเข้ามาเก็งกำไรกันต่อเนื่อง
ทว่า อาจมีบางช่วงที่ราคาหุ้น และวอลุ่มเทรดลดลงบ้าง จากปัจจัยเรื่อง “วัคซีน” ที่เข้ามา และประเมินกันว่า ปริมาณการใช้ถุงมือยางอาจจะค่อย ๆ ลดลง
ทำให้นักลงทุนเริ่มทยอยปรับพอร์ต และหันไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นแทน
โดยเฉพาะหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากวัคซีน
ขณะที่ในมุมมองของนักวิเคราะห์ต่างมองไปในทิศทางเดียวกัน
นั่นคือ แม้วัคซีน จะเริ่มเข้ามา
แต่ความต้องการใช้ถุงมือยางในตลาดโลกยังมีอยู่สูงมาก
ในปี 2563 ตลาดถุงมือยางเติบโตมากกว่า 20-22% จากปกติที่จะเติบโตเฉลี่ย 10-12%
ส่วนปี 2564 ตลาดถุงมือยาง ถูกคาดการณ์ว่า จะยังเติบโตในระดับสูงต่อไป จากความต้องการใช้ที่ยังมีอยู่
ว่ากันว่ามิติของการแข่งขันในตลาดถุงมือยางนั้น ให้ความสำคัญกับเรื่อง “คุณภาพ“ และ “ราคา”
แต่วันนี้ ณ เวลานี้ ความต้องการใช้ถุงมือยางกับกำลังการผลิตนั้น
ความต้องการใช้ยังมีมากกว่าอย่างมาก
ทำให้สินค้าที่ถูกผลิตออกมา สามารถขายออกได้ทันทีเพราะมี “ออเดอร์” รอล่วงหน้าแล้ว
มีการวิเคราะห์กันด้วยว่า แม้จะมีโรงงานที่พยายามเปิดใหม่ เพื่อเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด จากความต้องการของตลาดที่ยังมีอยู่สูงมาก
แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้เล่นรายใหม่จะเข้ามาช่วงชิง
มีการเปรียบเทียบด้วยว่า “ธุรกิจถุงมือยางไม่ได้ง่ายเหมือนต้มมาม่า”
นักวิเคราะห์ต่างจึงยังให้น้ำหนักการลงทุนกับหุ้น STGT ต่อไป
เช่น บล.ทรีนีตี้ คาดกำไรไตรมาส 1/2564 ของ STGT อาจจะสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท ได้แรงหนุนจากความต้องการถุงมือในตลาดโลกที่ยังขาดแคลน
ส่วนกำไรสุทธิปี 2564 จะอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท
บล.เคทีบีเอสที ประมาณการกำไรปี 2564 ของ STGT ไว้จำนวน 35,582 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2563 คิดเป็น 147%
ส่วนปี 2565 กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 20,590 ล้านบาท
แม้กำไรปี 65 จะลดลง แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก หรือหลักหมื่นล้านบาท
เช่นเดียวกับบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป ที่คาดการณ์กำไรสุทธิ STGT ไว้ 30,562 ล้านบาท
หลังการออกบทวิเคราะห์หุ้น STGT
ทำให้หุ้นตัวนี้เริ่มกลับมาอยู่ในโฟกัสของนักลงทุน (รายย่อย) อีกครั้ง
ทั้งนักลงทุนที่เก็งกำไรระยะสั้น และนักลงระยะปานกลางหรือประเภทเงินปันผล เพราะมีการดีดลูกคิดคำนวณอัตราผลตอบแทนเงินปันผลกันออกมา
STGT อาจให้ผลตอบแทน (เงินปันผล) ได้ถึง 10% หรืออาจจะมากกว่านั้น เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบัน
ล่าสุดข้อมูลจาก settrade
ราคาเป้าหมายที่เป็น IAA Consensus Target Price อยู่ที่ 53.50 บาทต่อหุ้น
มาถึงหุ้น OR กันบ้าง
ผ่านไป 11 วันแรกที่หุ้น OR เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ราคาหุ้นค่อย ๆ เริ่มย่อตัวลงมา และหลุด 30.00 บาท
การหลุดแนวรับนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือการคาดหมายของนักวิเคราะห์และนักลงทุนในตลาดหุ้นที่มีประสบการณ์สูง
หากราคายังปรับลงไปอีก และแนวรับต่อไปจะอยู่ตรงไหนนั้น
ในด้านสัญญาณทางเทคนิคอาจจะพอดูได้ เช่น 28.25–27.75 บาท
แต่เมื่อหุ้นตัวนี้มี “เจ้ามือ” เข้ามาควบคุมแล้ว ทำให้สัญญาณทางเทคนิคอาจจะใช้ไม่ได้ผล เพราะเจ้ามือหากสะสมหุ้นในมืออยู่มากพอ ก็เป็นฝ่ายคุมสัญญาณเทคนิคเองได้
อยากให้ราคาวันนี้ พรุ่งนี้ปิดที่เท่าไหร่ ไม่ใช่เรื่องยาก
และที่ผ่านมาก็เห็นมากันแล้ว
ราคาหุ้น OR ที่วิ่งขึ้นและลงจึงอาจเป็นการเล่นชักเย่อกับรายย่อย
รายใหญ่บางคน บางกลุ่มชอบแบบนี้แหละ