2 หุ้นที่ต่างกัน

หลังเทศกาลประกาศงบสิ้นงวดปี 2563 ผ่านไป บริษัท 2 แห่งที่เคยมีเรื่องอื้อฉาวสารพัด ที่ไม่จำต้องสาธยายเริ่มมีเส้นทางที่ต่างกันไปชัดเจน


พลวัตปี 2021 : วิษณุ โชลิตกุล

หลังเทศกาลประกาศงบสิ้นงวดปี 2563 ผ่านไป บริษัท 2 แห่งที่เคยมีเรื่องอื้อฉาวสารพัด ที่ไม่จำต้องสาธยายเริ่มมีเส้นทางที่ต่างกันไปชัดเจน

บริษัทหนึ่งเคยมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นญี่ปุ่นที่เคยประกาศชัดเจนว่า ผมไม่ใช่ยากูซ่า มีวิศวกรรมปล่อยสินเชื่อทางด้านลีสซิ่งให้บริษัทที่อ้างว่ามีธุรกรรมทำกำไรมหาศาลในกัมพูชา แต่เอาเข้าจริงยังมีคำถามมากมาย จนราคาหุ้นที่เคยสูงกว่า 100 บาท ร่วงมาติดพื้นในปัจจุบัน และมีเรื่องพัวพันกับเจ้าหนี้ตราสารหนี้สารพัด ล่าสุดไม่ยอมส่งงบการเงินไตรมาสสามและงวดสิ้นปี จนตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องออกคำเตือนให้นักลงทุนระวังการซื้อขาย

อีกรายเป็นบริษัทผลิตสื่อที่มีเรื่องโด่งดังทางเกมการแย่งชิงกิจการที่ขาดทุนเรื้อรัง ที่เคยส่งงบล่าช้า สามารถส่งงบได้ทันตามกำหนด แม้จะขาดทุนจนส่วนผู้ถือหุ้นร่อยหรอ แต่ก็เห็นทิศทางที่ดีว่ายังมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้บ้าง

คำถามคือหุ้นทั้งสองตัวนี้ อย่างไหนควรหลีกให้ไกลมากกว่ากัน

รายแรกเป็นหุ้น บริษัท กรุ๊ปลีส จํากัด (มหาชน) หรือ GL ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่งปลดเครื่องหมาย SP ให้กลับมาเทรดชั่วคราว ระหว่างวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564-16 มีนาคม 2564 ถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกประกาศขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูล ด้วยความระมัดระวังรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน กรณี GL ไม่ส่งงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 63 ในช่วงระหว่างเปิดซื้อขายชั่วคราว

นั่นหมายความว่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นไม่มีพื้นฐานข้อมูลที่แท้จริงรองรับ เสมือนการ ตาบอดคลำช้าง ไม่มีผิดการซื้อขายหุ้นที่กลับมาเทรดชั่วคราวถือเป็นการปลดภาระของนักลงทุนที่ติดและยังคงถือหุ้น GL ได้ชั่งใจว่า ถ้าไม่อยากทิ้งเพราะขาดทุนมาก ก็คงต้องทำใจว่าอนาคตของหุ้นรายนี้ที่อยู่ในอาการโคม่าทุกขณะยามนี้ ยากจะเห็นทางออกใด ๆ ในระยะสั้น

หุ้นตัวนี้ถูกขึ้นเครื่องหมาย C กำกับเอาไว้ ให้ต้องซื้อขายด้วยบัญชีเงินสดอย่างเดียว เพราะเหตุผลว่ามีกำไรสะสมติดลบไปแล้ว ก็คงบอกอะไรได้เยอะพอสมควร หลังจากที่มีข่าวร้ายเต็มไปหมด สำหรับหุ้นที่เมื่อ 5 ปีก่อน มีมาร์เก็ตแคปมากกว่า 8.73 หมื่นล้านบาทแต่ปัจจุบันลดลงไปเหลือแค่ล่าสุดเมื่อสิ้นสุดเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ที่ 1.73 พันล้านบาท เท่านั้น

นอกจากนั้นยังมีข่าวร้ายจากเดือนตุลาคมที่ผ่านมาหลายประการนั่นคือ

– ผู้ถือหุ้นใหญ่คือบริษัทแม่ในญี่ปุ่น กลุ่มเอพีเอฟ ได้ลดการถือครองหุ้นจากระดับ เกิน 36% เหลือแค่ 26% เศษ โดยบริษัทในกลุ่มคือ เอ พี เอฟ โฮลดิ้งส์ จำกัด ของพี่น้องตระกูลโคโนชิตะ ขายหุ้นและโอนให้ผู้อื่นในมือทิ้งเกือบทั้งหมดเหลือต่ำกว่า 1% แต่ยังเหลืออีกที่ถือในนาม

– เปลี่ยนม้ากลางแม่น้ำ โดยซีอีโอคนเดิมนาย โคโนชิตะหลบเรดาร์ หาหุ่นเชิดใหม่ แม้ว่าจะครองสิทธิในการเซ็นรับมอบอำนาจแทนบริษัทเช่นเดิม แต่ลดฐานะลงเป็นแค่รองซีอีโอเท่านั้น

– แพ้คดีในศาลที่สิงคโปร์ให้กับคู่ปรับรายเดิมคือค่า เจทรัสต์ของญี่ปุ่น จำต้องเสียค่าปรับกว่า 2.18 พันล้านบาทในข้อหาถูกฟ้องว่าให้ข้อมูลหลอกลวงให้ซื้อหุ้น แล้วศาลสั่งเป็นเด็ดขาดตัดสิทธิ์ในอุทธรณ์คำวินิจฉัย

– การที่ไม่มีตัวเลขผลประกอบการไตรมาสงวดครึ่งหลังปี 2563 ทำให้มีความเสี่ยงว่า หาก GL ยังคงขาดทุนต่อเนื่อง และเสียค่าปรับจำนวนมาก อาจจะส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงินได้ในระยะต่อไปแม้ว่ายังคงเหลือส่วนผู้ถือหุ้นเกิน 4 พันล้านบาท

ส่วนรายหลัง บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป หรือ NMG ที่เคยส่งงบล่าช้ามากมานานกว่า 2 ปีเศษ

สามารถส่งงบได้ทันเป็นครั้งแรก แม้จะเป็นงบที่ขี้เหร่พอสมควร เพราะยังปรากฏตัวเลขขาดทุนให้เห็น แต่อย่างน้อยสุดก็แสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสมากขึ้นว่าอะไรเกิดขึ้น

งบการเงินของ NMG มีตัวเลขกำไรสุทธิต่ำเกินจริงจากผลของการตัดอวัยวะด้วยการ “ผ่องถ่ายสินทรัพย์ออกจากมือ” ให้บริษัทในเครือคือ NBC มารับไปแทน

งบการเงินงวดสิ้นปีของ NMG มียอดขาดทุนสุทธิ 111 ล้านบาท มาทำให้ตัวเลขขาดทุนสะสมมากขึ้นเป็น 3.33 พันล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้นลดลงเหลือแค่ 128 ล้านบาท

ตัวเลขนี้ หมายความว่า ผู้บริหารนำโดยนายฉาย บุนนาค จะต้องขยับขยายหาทางตัดขาดทุนลง หรือไม่ก็เพิ่มทุนใหม่ ก่อนที่ส่วนผู้ถือหุ้นและบุ๊กแวลูจะติดลบเสียก่อนภายในกลางปีนี้

ที่น่าสนใจก็คือ การปรับทิศทางล่าสุดของเครือข่าย NMG นั้น มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่น่าสนใจคือ รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ล่าสุด มีชื่อของนายสุทธิชัย หยุ่น โผล่หน้าเข้ามาในสัดส่วนน่าสนใจมาก

สัดส่วนการถือครองหุ้นกว่า 212 ล้านหุ้น หรือ 5.23% ของนายสุทธิชัย สามารถทำให้เขากลับมานั่งเป็นกรรมการในบอร์ดบริษัท NMG ได้ทุกเมื่อ หากต้องการ

เงื่อนไขดังกล่าวที่ ลมพัดหวน อาจจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ในวงการธุรกิจและผลประโยชน์แล้ว คำว่าเป็นไปไม่ได้ ถือเป็นความคับแคบอย่างหนึ่ง

ยิ่งในยามนี้ อดีตมือคนทำงานระดับ มือซ้าย ของนายสุทธิชัยอย่างนายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ ก็หวนคืนมาทำงานใน NMG อยู่แล้ว ความเป็นไปได้ที่นายสุทธิชัย จะหวนคืน ก็ไม่น่าจะตัดทิ้งไป

คำกล่าวที่ว่า เนชั่นที่ไม่มีสุทธิชัย หยุ่น ไม่ใช่เนชั่น อาจจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ Back to the future ได้หรือไม่

คนที่ให้คำตอบนี้ได้คือ นายฉาย บุนนาค และสุทธิชัย หยุ่นเท่านั้น…คนอื่นไม่เกี่ยว

Back to top button