พาราสาวะถี
ชัดเจนกันไปสองเรื่องสำหรับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ หนึ่งคือวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าไม่มีปัญหาเรื่องผลข้างเคียง ไม่ต้องรอผลการสอบสวนจากฟากยุโรป ในเอเชียคนละรุ่น คนละไลน์การผลิต โดยที่บริษัทแม่ก็ยืนยันความปลอดภัย ดังนั้น ท่านผู้นำจึงจัดการประเดิมเข็มแรกคนแรกของประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย พร้อมคำพูดผ่านการแถลงข่าวหลังประชุมครม. ฉีดแล้วสมองแล่นกว่าที่ผ่านมา ไม่น่าจะเกี่ยวกับวัคซีน แต่คงเป็นเพราะคลายเครียดจากเสียงวิจารณ์ไปได้เปราะหนึ่งต่างหาก
อรชุน
ชัดเจนกันไปสองเรื่องสำหรับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ หนึ่งคือวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าไม่มีปัญหาเรื่องผลข้างเคียง ไม่ต้องรอผลการสอบสวนจากฟากยุโรป ในเอเชียคนละรุ่น คนละไลน์การผลิต โดยที่บริษัทแม่ก็ยืนยันความปลอดภัย ดังนั้น ท่านผู้นำจึงจัดการประเดิมเข็มแรกคนแรกของประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย พร้อมคำพูดผ่านการแถลงข่าวหลังประชุมครม. ฉีดแล้วสมองแล่นกว่าที่ผ่านมา ไม่น่าจะเกี่ยวกับวัคซีน แต่คงเป็นเพราะคลายเครียดจากเสียงวิจารณ์ไปได้เปราะหนึ่งต่างหาก
เรื่องสำคัญประการต่อมาคือ การเคาะรายชื่อรัฐมนตรีที่จะปรับเปลี่ยน หลังจากมีการเสนอชื่อมายังผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเรียบร้อย โดยหลังการแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมครม.วานนี้ พี่น้อง 3 ป.พร้อมหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญคือ ประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย หารือกันใช้เวลาประมาณ 20 นาที เพื่อพิจารณารายชื่อว่าเรียบร้อยหรือไม่ ไม่เป็นปัญหาเมื่อไม่มีอะไรมากไปกว่าที่ถูกเขี่ยพ้นเก้าอี้ไปจากคดีม็อบกปปส.
ยืนยันผ่านที่ประชุมส.ส.พรรคสืบทอดอำนาจ เมื่อบรรดาสมาชิกต่างพากันปรบมือสนั่นห้องประชุมแสดงความยินดีกับ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ กับ ตรีนุช เทียนทอง ที่จะได้ขึ้นชั้นเป็นเสนาบดี งานนี้ไม่มีพลิก รอแค่การคลิกจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจว่าจะวางตัวทั้งสองคนไว้ในกระทรวงไหน แต่ก็เกิดประเด็นดราม่าขึ้นจนได้เมื่อ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวทุกครั้งก็ยียวนกวนโอ๊ยอยู่แล้ว แต่หนนี้ดันเข้าข่ายบูลลี่เรื่องสถาบันการศึกษาของนักข่าว
เมื่อถูกถามเรื่องความเหมาะสมต่อการดำรงตำแหน่งของชัยวุฒิ ที่เจ้าตัวบอกว่าจบวิศวะ จุฬาฯ จะนั่งตรงไหนก็ได้ แล้วคุณจบอะไร จบมหาวิทยาลัยราชภัฏมาใช่ไหม ไม่ว่าจะแก้ต่างแก้ตัวอย่างไร นี่มันย่อมบ่งชี้ถึงนิสัยหรือจะเรียกว่าสันดานของพวกเจ้าขุนมูลนาย ที่ดูแคลนแบ่งชนชั้น โดยเฉพาะเรื่องสถาบันการศึกษาคนพวกนี้ชอบที่จะดูแคลนคนที่ด้อยกว่าอยู่แล้ว แต่คงลืมไปว่ารัฐนาวาของตัวเองพยายามจะอ้างการปฏิรูปที่เท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ แล้วดันมาทำตัวอย่างนี้
บางคนอาจมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ในแง่ของความเป็นสถาบันการศึกษา โดยเฉพาะบรรดาอธิการบดีและคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ไม่ได้รู้สึกรู้สาต่อการโดนดูถูกกันเลยหรือ คิดในฐานะผู้มีอำนาจสำคัญในรัฐบาลด้วยมุมแบบนี้ แล้วการพัฒนาหรือยกระดับคุณภาพการศึกษามันจะเป็นไปโดยเท่าเทียมได้อย่างไร ความจริงเรื่องความเก่งกล้าสามารถจากสถาบันที่จบมานั้นไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ความสำเร็จในหน้าที่การงานแต่อย่างใด
เพราะตัวคนที่พูดเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่า ที่ได้ขึ้นมาเป็นใหญ่เป็นโตทุกวันนี้ เกิดจากการ “เกาะโต๊ะขอตำแหน่งไม่ใช่หรือ” การที่มีพฤติกรรมระดับนั้นเรียกได้ว่ายิ่งกว่าเลียเสียด้วยซ้ำไป อย่าได้ลืมกำพืดตัวเองเป็นอันขาด ถ้าไม่ใช่เพราะความโสมมของการวางแผนในการก่อม็อบและตามมาด้วยการยึดอำนาจล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วตามมาด้วยการสืบทอดอำนาจ ก็คงไม่มีปัญญาได้มานั่งชูคอกันเหมือนทุกวันนี้
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะโหวตกันในวาระสามวันนี้ บทสรุปจะออกมาอย่างไรแทบไม่ต้องคาดเดา เมื่อชี้นำกันมาแต่ไกลจากศรีธนญชัยรอดช่อง การงดออกเสียงในที่ประชุมรัฐสภาคือหนทางของการจบปัญหานี้ ขณะที่พรรคสืบทอดอำนาจก็มีมติให้ส.ส.งดออกเสียงเช่นกัน ดังนั้น จึงต้องหันไปมองพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคเก่าแก่ในฐานะผู้ที่ประกาศตัวว่าเป็นพรรคแรกพรรคเดียวที่ผลักดันให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะแสดงท่าทีอย่างไร
การประชุมร่วมวิป 3 ฝ่ายก็ไร้ข้อยุติ โดยเห็นตรงกันโยนให้ฝ่ายกฎหมายของสภาฯ ไปพิจารณาจะออกหัวออกก้อยอย่างไร ทว่าน่าสนใจต่อท่วงทำนองของ ชวน หลีกภัย จอมหลักการที่ยืนยันก่อนหน้านี้ว่าจะเดินหน้าลงมติในวาระ 3 โดยอ้างว่าเป็นหน้าที่ของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยกลางออกมาเมื่อวันที่ 15 มีนาคมแล้ว แนวโน้มก็ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะศาลรัฐธรรมนูญมองว่าการแก้ไขครั้งนี้เป็นการจัดทำฉบับใหม่
ในมุมมองตามความหมายที่จอมหลักการต้องการสื่อก็คือ เมื่อเป็นการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ต้องไปทำประชามติถามความเห็นของประชาชนเสียก่อน แต่ปัญหาก็คือ ถ้าไม่ลงมติในวาระ 3 แล้วที่ประชุมรัฐสภาจะเดินกันอย่างไร เพราะจะนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญออกจากระเบียบวาระก็ทำไม่ได้ หรือถ้าถอนออกเรื่องนี้ก็ยังคาอยู่ และพร้อมที่จะกลับเข้ามาบรรจุในระเบียบวาระใหม่ได้ กลายเป็นปัญหาจนมีข้อเสนอผ่านทางตันว่าต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อให้มีความชัดเจนกว่านี้หรือไม่
ต้องยอมรับกันว่า เงื่อนปมของรัฐธรรมนูญที่วางกับดักไว้ทุกทางเพื่อให้ไม่สามารถแก้ไขได้นั้น ความจริงสิ่งที่เป็นประเด็นชวนให้คิดก่อนนำมาซึ่งการตีความของศาลรัฐธรรมนูญนั่นก็คือ การถามความเห็นของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ 4 คนนั้นมีน้ำหนักมากพอจนนำไปสู่การวินิจฉัยเพื่อเป็นบรรทัดฐานได้อย่างนั้นหรือ มากไปกว่านั้นก็คือ ถ้ามีปัญหาเรื่องรัฐธรรมนูญแล้วต้องย้อนกลับไปถามคนร่างทุกครั้งโดยผู้ทำหน้าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่ยอมใช้ดุลพินิจของตัวเองตัดสิน ก็ไม่รู้ว่าจะมีองค์กรนี้ไปเพื่ออะไร
เป็นเรื่องจนได้จดหมายจาก อานนท์ นำภา ที่ร้องต่อศาลเกี่ยวกับการควบคุมตัวกลุ่มจำเลยในเรือนจำ โดยเฉพาะการถูกปลุกกลางดึกเพื่อนำตัวไปกักกันหรือตรวจสอบโควิด จนฝ่ายจำเลยอ้างเหตุกลัวว่าจะได้รับอันตรายนั้น วันนี้ศาลอาญาได้กำหนดนัดไต่สวนตามเอกสารหนังสือคำร้องดังกล่าว และศาลให้หมายเรียกผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาร่วมในนัดพิจารณา และให้เบิกตัวอานนท์จำเลยจากเรือนจำมาศาลด้วย นี่คือความอ่อนไหว ถึงขนาดที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจสั่งให้ติดกล้องวงจรปิดเพิ่มเพื่อเป็นการแก้ปัญหา เรื่องอื่นควบคุมได้ด้วยกลไกที่วางไว้ แต่การเคลื่อนไหวของประชาชนนั้นมันนอกเหนือการควบคุมจริง ๆ