พาราสาวะถีอรชุน
ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงย้ำนักย้ำหนาเกี่ยวกับที่มาของตัวเองว่า ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งของประชาชน เพราะปรากฏการณ์ความหวั่นไหวของฝ่ายความมั่นคงในระยะหลังจากการเรียกตัวบุคคลเข้าไปปรับทัศนคติแบบเข้มข้นเป็นสัญญาณบ่งชี้ชัดเจนว่า อำนาจที่ได้มาจากปลายกระบอกปืน ไม่อาจทนรับต่อความเห็นที่แตกต่างได้
ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงย้ำนักย้ำหนาเกี่ยวกับที่มาของตัวเองว่า ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งของประชาชน เพราะปรากฏการณ์ความหวั่นไหวของฝ่ายความมั่นคงในระยะหลังจากการเรียกตัวบุคคลเข้าไปปรับทัศนคติแบบเข้มข้นเป็นสัญญาณบ่งชี้ชัดเจนว่า อำนาจที่ได้มาจากปลายกระบอกปืน ไม่อาจทนรับต่อความเห็นที่แตกต่างได้
กรณีคนการเมืองที่วิจารณ์แล้วถูกเรียกเข้าไปเป็นนักเรียนกินนอนในค่ายทหาร ยังพอฟังได้ว่าเป็น“ปฏิปักษ์” ต่อกัน แต่รายของสื่ออย่าง ประวิตร โรจนพฤกษ์ จากค่ายเนชั่นที่ถูกเชิญไปเข้าค่ายทหารเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่น่าจะเป็นความปกติ เพราะในวันเดียวกันรัฐมนตรีบางรายในรัฐบาลคสช.เพิ่งบอกว่า หน่วยงานความมั่นคงกำลังเฝ้าจับตาเว็บไซต์และสำนักข่าวต่างๆ อยู่อย่างใกล้ชิด
ความไม่ปกติเหล่านี้น่าจะจับอาการได้นับตั้งแต่ทีมรปภ.ของบิ๊กตู่รวบเด็กม.5 ที่เตรียมไปยื่นหนังสือถึงท่านผู้นำเพื่อให้ปฏิรูปการศึกษาให้ตรงจุด จนกลายเป็นที่มาของการล้อเลียนว่าม.44 แพ้ม.5 แต่ว่าล่าสุด เด็ดไปกว่านั้นเพราะไม่ใช่แพ้แค่นักเรียนม.ปลาย แต่ลามไปถึงเด็กชั้นประถมศึกษาจนถึงม.ต้นที่จัดกิจกรรมกันที่จังหวัดเลย
กิจกรรมดังกล่าวเป็นการนำเอาเด็กในพื้นที่ 6 หมู่บ้านของตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง มาเข้าค่ายภายใต้ชื่อ “เยาวชนฮักบ้านเจ้าของ ตอน นักสืบลำน้ำฮวยแท้ๆ แน๊ว” โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่ได้เรียนรู้วิถีชีวิต ภูมิปัญญา ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในชุมชนที่ตนเองอยู่ แต่ปรากฏว่าถูกกีดกันจากทหารในพื้นที่เป็นเหตุให้เลื่อนการจัดกิจกรรมจากเดือนมิถุนายนมาเป็นปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
แต่กว่าจะได้จัดงานก็มีการเปลี่ยนมือห้ามจากทหารเป็นฝ่ายปกครองในพื้นที่ด้วยการยกข้ออ้างสารพัด เป้าหมายหลักคือเกรงว่าจะมีการชักจูงเด็กไปในทางที่ผิด โดยนำภาพไปยึดติดกับกลุ่มดาวดินที่เคยทำกิจกรรมในพื้นที่เหล่านั้นมาก่อน นี่คือภาพสะท้อนของความหวั่นไหวที่แม้กระทั่งกิจกรรมของเด็กเพื่อสร้างจิตสำนึกในการรักบ้านเกิดยังถูกห้าม
จนเกิดคำถามจากตัวแทนเด็กเหล่านั้นว่า มันมากเกินไปหรือไม่กับแค่ค่ายเยาวชนที่ทำกันมานานแล้ว มีการทำค่ายในลักษณะนี้เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้ชุมชนอยู่หลายพื้นที่เป็นปกติ ทำไมตอนนั้นไม่ต้องขออนุญาต แต่ตอนนี้กลับต้องขออนุญาต คำถามที่น่าสนใจแต่คงจะไร้คำตอบ“ขนาดไหนที่เรียกเป็นภัยต่อความมั่นคง”
อย่างไรก็ตาม มาถึงวันนี้มองเห็นแนวโน้มของบุคคลที่จะถูกเรียกไปปรับทัศนคติรายต่อไปแล้วว่า ไม่น่าจะพ้น วัฒนา เมืองสุข หรือ จาตุรนต์ ฉายแสง โดยรายของเสี่ยไก่เพิ่งเดินทางไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรปากเกร็ด หลังจากถูกต่อยขณะไปเตะบอลที่สนามเมืองทองธานีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าตัวปักใจเชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของคนมีสี
ขณะที่เดอะอ๋อย หลังจากถูกระงับหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตก็ยังคงออกมาแสดงความเห็นทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าคงอยู่ระหว่างการประเมินของฝ่ายความมั่นคงอยู่ว่าเข้าข่ายจะเรียกไปปรับทัศนคติได้หรือยัง วันวาน มีการโพสต์เฟซบุ๊คชี้แจงความสำคัญของสิทธิในการเดินทางตามที่มนุษย์พึงมี และได้รับการรับรองตามกฎหมาย
จาตุรนต์อธิบายต่อว่า ในบรรดาสิทธิและเสรีภาพที่บุคคลพึงมีพึงได้ตามกฎหมายและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานนั้น เสรีภาพในการเดินทางถือเป็นสิทธิที่สำคัญยิ่งที่รัฐจะต้องให้ความคุ้มครอง เสรีภาพในการเดินทางมีการบัญญัติรับรองไว้ในข้อ 13 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีมาตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2491
ข้อ 12 (2) ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองหรือ ICCPR ที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีมาตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2539 โดยกติกาในข้อดังกล่าวระบุว่า “Everyone shall be free to leave any country, including his own.” ได้รับการตีความจาก The United Nations Human Rights Committee ว่า หมายความรวมถึงสิทธิในการมีหรือได้มาซึ่งหนังสือเดินทาง
โดยมีการวินิจฉัยจาก UN Human Rights Committee เกี่ยวกับการเพิกถอนหรือปฏิเสธการออกหนังสือเดินทางให้พลเมืองว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 12 (2) อีกด้วย แม้รัฐธรรมนูญชั่วคราวปัจจุบันของไทยไม่ได้บัญญัติไว้ แต่ในมาตรา 4 ได้บัญญัติรับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค ที่คนไทยพึงจะได้รับการคุ้มครองไว้แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงทำให้หลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนดังกล่าวพึงได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเสรีภาพในการเดินทางได้รับการบัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับก่อนๆ หลายฉบับ จึงถือได้ว่าเสรีภาพในการเดินทางเป็นสิทธิหรือเสรีภาพที่ได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ดังนั้น การยกเลิกหนังสือเดินทางโดยปราศจากเหตุผลอันสมควรจึงเป็นการละเมิดเสรีภาพในการเดินทางอันเป็นสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการรับรองโดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่อเรื่องดังกล่าวแล้ว ไม่รู้ว่าถ้ามีใครถามท่านผู้นำที่กำลังจะเดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติช่วงปลายเดือนนี้ ท่านจะตอบนานาอารยประเทศว่าอย่างไร
สิ่งสำคัญเมื่อย้อนกลับไปที่กรณีของเด็กม.5 หรือแม้กระทั่งเด็กประถมถึงมัธยมต้นที่จังหวัดเลย ทำให้บทสรุปจากบทความของ สุรพศ ทวีศักดิ์ ที่เขียนไว้เมื่อหลายวันก่อน น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจคนที่จัดการศึกษาได้เป็นอย่างดี การศึกษาที่จะสร้างพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ต้องให้พลเมืองมี“ความเป็นมนุษย์” ให้ได้ก่อน ไม่ใช่เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงที่ถูกปลูกฝังให้เชื่อฟังและเกรงกลัวผู้มีอำนาจเท่านั้น