กากบาทแห่งความตายพลวัต2015
แม้ว่าเมื่อวานนี้ ต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง หลังจากขายต่อเนื่องหลายวัน และค่าเงินบาทก็แข็งผิดปกติ แถมดัชนีตลาดก็ยังสามารถยืนเหนือแนวรับ 1,370 จุดเอาไว้ได้ ทำท่าว่าอาจจะกลับทิศขึ้นเป็นขาขึ้นแบบไซด์เวย์ได้ แต่ข้อเท็จจริงสำหรับคนอ่านสัญญาณทางเทคนิคออกก็คือว่า นี่คือสัญญาณอันตรายเพราะเส้นกราฟอนุกรมเวลาอย่าง MACD บอกให้รู้ว่า กำลังจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “กากบาทแห่งความตาย” หรือ death cross ขึ้นในวันนี้หรือพรุ่งนี้อย่างแน่นอน
แม้ว่าเมื่อวานนี้ ต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง หลังจากขายต่อเนื่องหลายวัน และค่าเงินบาทก็แข็งผิดปกติ แถมดัชนีตลาดก็ยังสามารถยืนเหนือแนวรับ 1,370 จุดเอาไว้ได้ ทำท่าว่าอาจจะกลับทิศขึ้นเป็นขาขึ้นแบบไซด์เวย์ได้ แต่ข้อเท็จจริงสำหรับคนอ่านสัญญาณทางเทคนิคออกก็คือว่า นี่คือสัญญาณอันตรายเพราะเส้นกราฟอนุกรมเวลาอย่าง MACD บอกให้รู้ว่า กำลังจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “กากบาทแห่งความตาย” หรือ death cross ขึ้นในวันนี้หรือพรุ่งนี้อย่างแน่นอน
สัญญาณดังกล่าว หมายถึงจากนี้ไป ทิศทางของดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเป็นขาขึ้นเต็มตัวอีกระยะหนึ่ง นี่คือสัญญาณร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ว่านักวิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยหลายสำนัก จะเริ่มออกมามองโลกในทางบวกจากการประชุมสมาคมนักวิเคราะห์ในวันนี้ แต่ก็เชื่อเหลือเกินว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวที่นักวิเคราะห์ชื่อดังหลายคนพยายามบอกกล่าวนั้น เชื่อถือไม่ได้ทั้งหมด เพราะสัญญาณกากบาทแห่งความตายนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่า เป็นแนวทางที่ได้จังหวะพอดี
จังหวะนั้นคือการประกาศการตัดสินใจครั้งสำคัญของเฟดฯว่าจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งใหญ่ในเดือนนี้หรือไม่ หลังจากที่ไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมานานถึง 9 ปี ก่อนหน้าวิกฤตซับไพรม์เมื่อ 7 ปีก่อน
สัญญาณ กากบาทแหงความตายดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ทางสถิติของสัญญาณทางเทคนิคมายาวนานหลายทศวรรษแล้ว โดยเป็นสัญญาณที่อยู่ในสัญญาณ MACD ซึ่งเป็นสัญญาณที่มีความเสถียรและน่าเชื่อถือได้ในทิศทางดีกว่าสัญญาณเทคนิคอีกอย่าหนึ่งที่ต้องใช้ควบคู่กันคือ SSTO ที่มีความฉับไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ดีกว่า แต่มักจะมีปัญหาในการออกสัญญาณ “กากบาทเทียม” หรือ false cross ขึ้นมา ให้นักลงทุนหลงทางได้ง่ายกว่า
ตามหลักการแล้ว กากบาทแห่งความตาย จะเกิดขึ้นเมื่อดัชนีหรือเส้นกราฟของราคาหุ้น ซึ่งมีเส้น 50 วัน และ 200 วันที่เกิดขึ้นในจังหวะที่หุ้นขาขึ้นยาวนาน แต่ราคาหรือดัชนีไปต่อไม่ได้ แล้วเริ่มโค้งต่ำลง (ดูภาพประกอบ) โดยเส้น 200 วัน วิ่งตัดขึ้นเหนือเส้น 50 วัน ซึ่งเป็นการยืนยันชัดเจนว่าขาลงของราคากำลังเกิดขึ้นจากนี้ไป (จุดตัดแรกทางซ้ายมือ) จนกว่าจะเกิดสัญญาณกลับทิศเป็นขาขึ้นระลอกใหม่ เมื่อเส้น 50 วันกลับขึ้นมาเหนือเส้น 200 วันอีกครั้งหนึ่ง (จุดตัดสองทางขวามือ)
สัญญาณดังกล่าว เป็นสัญญาณที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงจังหวะในการเข้าซื้อหรือขายออกของราคาหุ้น ไม่ว่าราคาหุ้นนั้นจะมีพื้นฐานดีหรือแย่เพียงใด เป็นการช่วยให้เข้าใจแรงขับเคลื่อนของกลไกตลาดได้ดี
ในยามนี้ มีนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท พากันบอกว่า เส้นกราฟของดัชนี S&P500 ที่วิ่งขึ้นมายาวนานกว่า 6 ปีโดยมีการพักฐานน้อยมาก ได้ส่งสัญญาณชัดเจนผ่านจุดตัดกากบาทแห่งความตายนี้ไปหยกๆ ดังนั้น ทิศทางของดัชนีจึงเป็นขาลง ไม่ว่าเฟดฯจะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ เนื่องจากสัญญาณขายหรือภาวะหมีได้เกิดขึ้นแล้ว
ในกรณีของไทย นักวิเคราะห์หุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ไทย มีท่าทีประนีประนอมกับฝ่ายการตลาดค่อนข้างมาก (แม้จะอ้างกันว่ามี “กำแพงเมืองจีน” หรือ China ’ s wall แข็งแรง ) ดังนั้น นักวิเคราะห์ไทยจึงมักจะหลบเลี่ยงหรือไม่พูดทื่อๆ แต่อาศัยสำนวนลีลาที่ทำให้นักลงทุนไม่ตระหนกกับข่าวร้ายมากเกินขนาด และอาจจะยังผลให้เกิดความเข้าใจหรือประเมินสถานการณ์ผิดพลาดได้
ตลาดหุ้นนั้น ก็เหมือนตลาดเก็งกำไรอื่นๆ คือ ไม่ได้มีแต่โอกาส แต่มีความเสี่ยงเจือปนด้วยเสมอ ไม่มากก็น้อย
สัญญาณทางเทคนิคที่เกิดกากบาทแห่งความตายเช่นที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยยามนี้ หากอ่านบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์สำนักต่างๆ จะพบว่า มีค่อนข้างต่ำ ทั้งที่มีความหมายซ่อนเอาไว้น่าเสียวสยองพอสมควร เพราะเป็นจังหวะเดียวกันกับข้อเท็จจริงที่เฟดฯของสหรัฐฯกำลังตัดสินใจครั้งสำคัญเข้าพอดี
เวลาที่ประจวบเหมาะกับการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มกำลังเริ่มหาทางเป็นขาลง ที่บังเอิญมาตรงกันกับการตัดสินใจของเฟดฯ ซึ่งทำให้สามารถแย่งชี้ได้ล่วงหน้าเลยว่า ไม่ว่าเฟดฯจะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ ตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไปหลังจากสัปดาห์นี้ จะมีทิศทางเป็นขาลงอย่างชัดเจน ไม่ว่านักวิเคราะห์จะบอกหรือไม่ เพราะหากพิจารณาโดยพื้นฐานของผลประกอบการล้วนๆ แรงกดดันของตลาดหุ้นไทยยังคงเลวร้ายพอสมควร จากผลประกอบการที่โดยเฉลี่ยจะยังย่ำแย่ไปอีกยาวนานพอสมควร
ปรากฏการณ์เช่นนี้ เตือนสตินักลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า น่าจะต้องบอกกับตัวเองว่าถึงเวลาสำหรับนักลงทุนไทยที่จะต้องทำความเข้าใจกับสัญญาณทางเทคนิคด้วยตัวเอง มากกว่าพึ่งพานักวิเคราะห์เป็นหลัก